หร่วนอวี้รู้สึกยินดี ทว่าเพียงชั่วครู่ในหัวใจเขาก็เกิดความขมขื่นขึ้นอีกครั้ง ความขมขื่นที่แฝงด้วยความเจ็บปวดเหมือนกับการถูกแทงทะลุหัวใจ
ความรู้สึกที่นางมีต่อเขามันจืดจางลงแล้วจริงๆ จืดจางจนไม่เหลือความรู้สึกใดๆ ราวกับน้ำที่ไร้รสถ้วยหนึ่ง
ไม่มีรักแล้วจะมีโกรธแค้นได้อย่างไร
เมื่อเป็นความโกรธแค้นก็ถือเป็นอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่ง อย่างน้อยเพราะยังโกรธแค้น นางถึงจะสามารถจดจำเขาคนนี้ได้
แต่ตอนนี้ในดวงตาคู่นั้นไม่มีแล้วซึ่งรัก ไม่มีทั้งความโกรธแค้น ล้วนว่างเปล่าสงบนิ่ง
นางได้ลบเขาไปจากความทรงจำจนหมดสิ้นแล้ว!
ในขณะที่เขารักจนไม่เป็นตัวเอง ทุกครั้งที่คิดถึงนางแม้หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บ นางกลับลบเขาไปจากความทรงจำจนหมดสิ้น ไม่ยอมแม้แต่จะโกรธแค้นอีกแล้ว
หร่วนอวี้จ้องหน้านาง มีความรู้สึกเหมือนว่านี่มิใช่ความจริง ทั้งที่พวกเขาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนกับอยู่ในความฝัน เหมือนอยู่ในฝันร้ายของคืนนั้น ทั้งที่เขาเห็นนางอย่างชัดเจน แต่ระหว่างเขากับนางกลับถูกกั้นไว้ด้วยร่องน้ำที่มองไม่เห็น คลำไม่ถูก แต่ก็ไม่อาจทำลายได้
หัวใจของเขาแหลกไปทีละชิ้น เจ็บจนเลือดหยด แต่นางยังคงเย็นชาเหมือนเก่า เพียงแค่ทำเรื่องของตนเองไปตามเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับเขาเป็นวัตถุโปร่งใสไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้
สายตาเลื่อนจากตัวมู่หวั่นชิวไปที่เตียงงามที่อยู่ด้านหลังนาง ไม่ว่าจะเป็นม่านเตียง หมอนหนุน ฟูก ผ้าห่มหนา แม้จะไม่หรูหรา แต่ก็เป็นแบบที่สบายตัวมาก สายตาจ้องไปบนเตียงนุ่มสบาย ในใจหร่วนอวี้เกิดความคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด เขาอยากจะกระโจนเข้าไปกดนางลงบนเตียงอย่างแรง บดขยี้นางเข้าสู่ร่าง แล้วกลืนกินทีละคำ มีเพียงเช่นนี้จึงจะระบายความเจ็บปวดแทบขาดใจในทรวงอกนี้ได้
ขอเพียงบังคับให้ได้ตัวนางมา ทำให้นางเป็นคนของเขา นางคงจะลุ่มหลงและรักในตัวเขาเช่นในฝัน ถึงตายก็ไม่ยอมแยกจาก!
เส้นเลือดบนหลังมือหร่วนอวี้ค่อยๆ นูนขึ้นทีละเส้น บิดเบี้ยวไม่เป็นรูป ในอากาศราวกับมีไฟร้อนแรงลุกโชน ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก
รับรู้ถึงกลิ่นอายรุนแรงปะทะเข้ามา จิตใต้สำนึกของมู่หวั่นชิวทำให้นางค่อยๆ ยกมือที่กุมปิ่นเงินไว้แน่นนั้นขึ้นมา
ในตอนที่หร่วนอวี้คิดจะกระโจนเข้าใส่ก็ได้ยินเสียงดังกึก ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ จู่ๆ ก็มีเศษแผ่นกระเบื้องตกลงมาจากบนหลังคาคุก กระทบบนราวเหล็กหน้าต่างคุกเข้าพอดี เกิดเป็นเสียงดังก้องท่ามกลางความเงียบ หร่วนอวี้สะดุ้งพลางดึงสติคืนมาได้ในทันที
เห็นมู่หวั่นชิวสองมือกอดอก ปิ่นเงินใต้แขนเสื้ออันหนึ่งจ่อที่ทรวงอกของนาง หร่วนอวี้ก็สะดุ้งจนขนลุกซู่ เหงื่อผุดทั่วตัวในทันที แอบคิดในใจว่าเมื่อครู่ข้าเป็นมารไปได้อย่างไร
ที่นี่เป็นคุก อีกทั้งด้านนอกก็มีการคุ้มกันที่แน่นหนา ไม่รู้ว่ามีสายตาจับจ้องมากมายเท่าใด เขาเกิดความคิดโสมมเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ถึงกับคิดจะบังคับให้ได้ตัวนางมาเสียอย่างนั้น
หร่วนอวี้ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนหน้าผาก มองเศษแผ่นกระเบื้องที่ตกลงบนกรอบหน้าต่างนั้นอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นก้าวยาวออกไป ฝีเท้าเบาหวิวเดินเซไปเล็กน้อย
มองดูทหารลงกลอนประตูคุกแล้วมู่หวั่นชิวจึงผ่อนลมหายใจออกมา นางทรุดตัวลงนั่งบนเตียง กลิ่นอายน่ากลัวเมื่อครู่ทำให้นางตกใจจนใจสั่นมาถึงตอนนี้ ในเวลานี้นางรู้สึกว่าตนเองเพิ่งจะเดินเฉียดกับความตายมา
หลีจวินซ่อนตัวอยู่บนต้นไทรที่เพิ่งมีกิ่งใหม่งอกออกมา สายตาจับจ้องคุกที่ขังมู่หวั่นชิวถูกขังอยู่ไม่วางตา จนกระทั่งเห็นหร่วนอวี้เดินออกไปแล้ว หลีจวินจึงโล่งอก ทันทีที่ได้ยินเสียงกิ่งไม้เหนือหัว เขาจึงโคจรพลัง กำลังจะซัดฝ่ามือออกไป เสียงพูดเบาบางของเซี่ยอีก็ดังลอยมา “คุณชาย บ่าวเอง”
หลีจวินเงยหน้าขึ้น เซี่ยอีก็โรยตัวลงมายืนข้างกายราวนกนางแอ่น พูดเสียงเบาว่า “บ่าวตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว เป็นกู่ฉินที่เห็นธูปไหว้พระที่ปรมาจารย์ไป๋ทำมีรูปแบบคล้ายตระกูลเว่ยจึงสงสัยว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยจะตกอยู่ในมือปรมาจารย์ไป๋ นางก็คือลูกสาวอัครเสนาบดีมู่ หลิ่วอู่เต๋อจึงแจ้งความลับๆ และรีบปล่อยข่าวออกมา”
หลีจวินร่างสั่นกระตุก ก่อนจะถามเสียงเข้ม “หาที่ซ่อนตัวของกู่ฉินเจอหรือยัง”
“หาเจอแล้วขอรับ” เซี่ยอีตอบ “คุณชายจะไปชิงตัวกลับมาตอนนี้เลยหรือไม่”
“ยังไม่ต้อง” หลีจวินส่ายหน้า “เจ้าแค่จับตาดูไว้ก็พอ”
เซี่ยอีรับคำแล้วจากไป
สายตาเลื่อนไปที่หน้าต่างคุกซึ่งใช้ขังมู่หวั่นชิว หลีจวินค่อยกำหมัดอย่างช้าๆ กิ่งไม้กิ่งหนึ่งในฝ่ามือพลันแหลกเป็นผุยผงในทันที
ลอบทำร้ายมู่หวั่นชิวเช่นนี้ ตระกูลหลิ่วกับกู่ฉินก็อย่าคิดว่าจะหนีไปได้แม้แต่คนเดียว!
‘รอให้อิงอ๋องล้ม ข้าจะทำให้นางไม่เหลืออะไรเลย!’
ข้างหูมีเสียงคำสาบานด้วยความโกรธของมู่หวั่นชิวในวันนั้นดังก้องรอบแล้วรอบเล่า ในดวงตาหลีจวินฉายความเหี้ยมโหดอย่างที่น้อยนักจะมี
ถึงช่วงเวลาที่ควรจะทำให้ความปรารถนานี้ของอาชิวเป็นจริงแล้ว
ติดตามฉบับเต็มที่…ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม 7