overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย
ข้ารอหลิ่วถงอี่เดินเข้ามาหา เดินเคียงไปกับเขา หลิ่วถงอี่พูดว่า “เมื่อครู่คล้ายได้ยินไหวอ๋องตัดพ้อกาลเวลา หรือว่าท่านมองแสงอัสดงแล้วเกิดอารมณ์สะเทือนใจ”
ข้าฝืนยิ้ม “มิใช่ เพราะบังเอิญนึกถึงเรื่องเก่า จึงเกิดสะเทือนใจเล็กน้อย”
หลิ่วถงอี่ตอบรับคำหนึ่ง ข้าลอบมองใบหน้างามสง่าของเขาอย่างไม่ผิดสังเกต เมื่อครู่ที่เขาพูดประโยคนั้น หากเป็นพวกอวิ๋นอวี้หรือฉีถานฉีหลี่กล่าวจะต้องเป็นคำพูดหยอกล้อเป็นแน่
แต่คนอย่างหลิ่วถงอี่จะมาพูดหยอกล้อข้าอย่างนั้นหรือ
เขากล่าวเช่นนี้คงกำลังพรรณนาห้วงอารมณ์ดั่งโคลงกลอนบางประการเป็นแน่ เพียงแต่ข้าฟังเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ จึงเข้าใจเป็นสิ่งธรรมดาไป แต่การตอบของข้าไม่อาจธรรมดาสามัญได้ จะต้องมีท่วงทำนองของโคลงกลอนสักเล็กน้อย
ข้าจึงมองไปยังแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ยังค่อนข้างแสบตา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสนาบดีหลิ่ว ท่านชอบมองแสงอัสดงหรือไม่ ทุกครั้งที่ข้ามองแสงอัสดง ข้าจะนึกถึงกลอน คำกลอนเหล่านั้นล่องลอยอยู่ในใจของข้า คล้ายเมฆแดงลอยบนท้องฟ้า”
หลิ่วถงอี่ยกชายแขนเสื้อมาถึงข้างริมฝีปากก่อนกระแอมครั้งหนึ่ง ข้ารอแล้วรออีกไม่ได้ยินเขาตอบกลับมาก็รีบถามขึ้นว่า “เสนาบดีหลิ่ว ท่านไม่สบายหรือ ให้ข้าส่งท่านกลับจวนดีหรือไม่”
หลิ่วถงอี่เผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “อ้อ มิเป็นไร เมื่อสักครู่ข้าน้อยรู้สึกระคายคอเท่านั้น”
อาจจะเป็นเพราะว่าแสงยามเย็นทำให้ข้าสะท้อนใจยิ่ง ข้าถึงเอ่ยถามหลิ่วถงอี่ประโยคหนึ่ง เป็นคำพูดที่ข้านึกว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่กล้าถามเขา
ข้าถามว่า “เสนาบดีหลิ่ว ท่านคิดว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
พอคำพูดนี้หลุดออกไป ข้าก็รู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว เขาจะพูดว่าข้าเป็นอย่างไรเช่นนั้นหรือ คำพูดแท้จริงย่อมต้องไม่พูดออกมาต่อหน้าข้าแน่
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น หลิ่วถงอี่จ้องมองข้า ยังดีที่สีหน้าไม่ผิดปกติอะไร พูดว่า “ไยท่านอ๋องเอ่ยถามเช่นนี้”
ข้ารีบพูดว่า “อ้อ ไม่มีกระไร อาจเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องค่อนข้างมาก จิตใจสับสนอย่างไม่รู้ตัว หากท่านไม่ต้องการพูด ก็ทำเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่เคยถามแล้วกัน”
หลิ่วถงอี่พูดว่า “ท่านอ๋องปล่อยวางจิตใจให้สบายเถิด ปล่อยบางเรื่องผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง”
ประโยคเดียวนี้ของเขาสามารถเลี่ยงคำถามเมื่อครู่ของข้าไปอย่างนุ่มนวล หลังจากได้ฟังแล้ว ในใจของข้าเกิดเป็นรสชาติผิดแผกขึ้น เขาเลี่ยงคำพูดไปเพราะว่าคำถามนี้ไม่อาจตอบโดยง่าย แต่แทนที่จะใช้คำพูดสวยหรูมาตอบอย่างขอไปที เขากลับไม่ตอบ ข้ารู้สึกพอใจแล้ว เขาพูดปลอบเพราะเกรงใจเท่านั้น แต่แค่ได้รับหนึ่งประโยคปลอบใจของเขานี้ข้าก็ยังดีใจ
ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงถูกใจหลิ่วถงอี่ ตามสถานการณ์ของราชสำนักในขณะนี้แล้ว ถึงแม้สักวันหนึ่งตาเฒ่าหวังฉินกับไทเฮาอาจจะกลายเป็นคู่ชู้นกยวนยาง* ข้ากับหลิ่วถงอี่ก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมทางกันได้
สกุลหลิ่วเป็นตระกูลขุนนางเรืองอำนาจ ต้นตระกูลโอบอุ้มปฐมวงศ์บุกเบิกแคว้น ดำรงตำแหน่งเสนาบดี ตระกูลขุนนางทั่วไปมักเป็นดั่งสำนวนที่ว่า ‘ร่ำรวยไม่เกินสามรุ่น มีชื่อเสียงไม่พ้นห้ารุ่น’ สกุลหลิ่วกลับรุ่งเรืองมาโดยตลอด ทุกรุ่นล้วนกำเนิดขุนนางที่ดีหนึ่งหรือสองคน ทุกคนล้วนยินยอมรับใช้ราชสำนักด้วยชีวิตจิตใจ ทุ่มเทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากใต้หล้านี้มีป้ายเชิดชูตระกูลขุนนางซื่อสัตย์เพียงหนึ่งเดียวก็จะต้องแขวนไว้ที่ประตูจวนสกุลหลิ่วแน่นอน
น้องสาวของหลิ่วเซี่ยนปู่ของหลิ่วถงอี่คือฮองเฮาของถงกวงตี้ เมื่อครั้งถงกวงตี้ยังครองราชบัลลังก์ บิดาของข้ายังเป็นหนุ่มน้อยเพิ่งเริ่มออกศึกสงคราม หลิ่วเซี่ยนที่เป็นทั้งพี่เขยและหัวหน้าสำนักตรวจการถวายฎีกาต่อถงกวงตี้หลายต่อหลายครั้ง ความว่าเพื่อคำนึงถึงบัลลังก์ฮ่องเต้และอนาคตของรัชทายาท ไม่ควรมอบอำนาจทางการทหารแก่ชินอ๋องมากนัก เน้นย้ำให้ถงกวงตี้เลี้ยงดูบิดาข้าดั่งคนว่างงาน ยังดีที่ถงกวงตี้ไม่รับฟัง แต่หลังจากนั้นการที่โอรสของพระองค์หรืออดีตฮ่องเต้ระแวงบิดาของข้าดั่งระแวงโจรคงเป็นผลงานของหลิ่วเซี่ยนไม่มากก็น้อย
เดิมทีบิดาของหลิ่วถงอี่ก็มีอนาคตสดใสยิ่ง เสียดายที่ชะตาชีวิตไม่ดี เพิ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ผู้ว่าการเมืองเจียงตงก็ติดเชื้อโรคปอดในการควบคุมเหตุอุทกภัยครั้งหนึ่ง เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม
หลิ่วถงอี่อายุมากกว่าพวกฉีเจ่อ ฉีถาน ฉีหลี่ และอวิ๋นอวี้อยู่หลายปี จวนสกุลหลิ่วเองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับวังไหวอ๋อง และเขาก็เพิ่งกลับมายังเมืองหลวงหลังจากบิดาเขาป่วยตาย ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยเจอเขาตอนยังเด็ก
ครั้งแรกที่ข้าเจอเขาคงเป็นในวังหลวง คล้ายจะเป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ประชวรค่อนข้างหนักแล้ว แต่ยังคงจัดงานเลี้ยงชมจันทร์ในอุทยานหลวง ขุนนางสำคัญของราชสำนักและทายาทต่างได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยง ตอนนั้นหลิ่วเซี่ยนอายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว หนวดเคราขาวโพลน กลับยังเดินตัวสั่นงันงกมาร่วมงาน เขายังคงเป็นผู้นำขุนนางฝ่ายคุณธรรม ในงานเลี้ยงเขาเปรียบดังจันทร์สว่างดวงกลมโต พ่อตาในอนาคตของข้าและเหล่าแม่ทัพขุนนางผู้จงรักภักดีที่ถือตัวเย่อหยิ่งทั้งหลายโอบล้อมเขาประหนึ่งดวงดารา แน่นอนว่าข้าคงแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ ได้แต่นั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่น้องหรือไม่ก็พวกของอวิ๋นถังและหวังฉิน ตอนนั้นข้านับว่ายังอายุน้อย พูดอะไรกับพวกเขาไม่ค่อยได้ น่าอึดอัดยิ่ง ดื่มสุราไม่กี่จอกก็หาข้ออ้างว่าจะไปปลดทุกข์ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ของอุทยานหลวง
พวกของฉีถาน ฉีหลี่ วิ่งเล่นไล่จับกันไปมาในอุทยานหลวง บรรดาขันทีนางกำนัลวิ่งตามวุ่นวาย ข้ายืนมองครู่หนึ่งก็หันไปยังสถานที่สงบเงียบ เดินไปยืนข้างสระน้ำ
ลมโชยจันทร์กระจ่างหอมกลิ่นดอกกุ้ย ดาวหนึ่งผืนนภาลอยบนผิวน้ำ ไอระเหยน้ำกับกลิ่นหอม
ดอกกุ้ยหลอมรวมกัน ซึมซาบเข้าสู่ดวงตา สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ถูกทำให้เหมือนน้ำในสระนั้น ใสกระจ่างแล้ว
ข้ายืนครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินไปทางนั้นต่อก็เห็นบนขั้นบันไดที่สุดระเบียงทางเดินข้างสระน้ำมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
ยามนั้นข้ายังไม่นับว่าเป็นผู้ชมชอบบุรุษ แต่ในบรรยากาศเช่นนั้น พระจันทร์เช่นนั้น สายลมเช่นนั้น สายน้ำเช่นนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้เช่นนั้น ในพริบตานั้นเหตุใดข้าถึงเห็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเป็นภูตพรายดอกกุ้ยไปได้
นี่เป็นเพียงแค่ดวงตาพร่าเลือนชั่วครู่เท่านั้น ข้ามองอีกครั้งก็รู้ว่ามิใช่
เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี สวมชุดผ้าเบาบาง แม้แลดูเรียบง่าย แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เขานั่งบนขั้นบันไดพิงเสาของระเบียง อาศัยแสงจากโคมเหนือศีรษะอ่านหนังสือที่ถืออยู่
มิรู้ว่าเป็นทายาทของสกุลใด เหตุใดเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงยังพกหนังสือมาแอบอ่านที่นี่ด้วย
ข้าเดาว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่รักหนังสือยิ่งชีพ ก็คงได้รับการชี้แนะจากผู้ใหญ่ท่านไหนให้จงใจกระทำเช่นนี้ รอให้คนมาพบเห็น ดีที่สุดคือฮ่องเต้พบเห็นเข้า แล้วเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘เด็กหนุ่มบ้านใดช่างขยันขันแข็ง’ เช่นนั้นชื่อเสียงลาภยศชั่วชีวิตนี้ก็นับว่ามีจุดเริ่มต้นแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นข้า ถือหนังสืออ่านอย่างมีสมาธิจดจ่อยิ่ง ไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งทำ
ข้ายืนครู่หนึ่งก็เดินหน้าเข้าไปหา ‘อ่านหนังสือใต้โคมอับแสงเช่นนี้ ไม่กลัวสายตาเสียหรืออย่างไร’
เด็กหนุ่มคล้ายจะตกใจมาก เงยหน้าขึ้นมาแล้วรีบปิดหนังสือในมือพร้อมยืนขึ้น ข้ายิ้มๆ แล้วเดินไปด้านหน้าอีกสองก้าว สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ สงบลง โค้งกายพูดว่า ‘คำนับไหวอ๋อง’
เห็นทีคงได้เจอกันที่งานเลี้ยงก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ข้าไม่ได้สังเกต
ข้าพูดว่า ‘ไม่ต้องมากพิธี พูดกันธรรมดาก็พอแล้ว เจ้าเป็นเด็กสกุลใด เหตุใดถึงมานั่งอ่านหนังสือที่นี่’
เขาตอบว่า ‘ข้าชื่อหลิ่วถงอี่ ท่านปู่คือหลิ่วเซี่ยน’
ที่แท้ก็เป็นหลานชายของหลิ่วเซี่ยน เช่นนั้นการแอบมาอ่านหนังสือในมุมสงบก็พอเข้าใจได้ เขายืนอยู่ตรงนั้น ท่าทีสงบเยือกเย็น หว่างคิ้วแสดงออกถึงความสุขุมจากการอบรมเลี้ยงดูด้วยตำราโคลงกลอน ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานสกุลหลิ่ว
ตอนนี้เห็นเขามีรูปลักษณ์ไม่เลว แต่หลังจากนี้สิบปี บางทีราชสำนักอาจมีหลิ่วเซี่ยนอายุน้อยปรากฏตัวขึ้นอีกคน
เฮ้อ เสียดายเด็กหนุ่มในตอนนี้ยิ่งนัก
ข้าเพ่งพินิจเขา ตั้งแต่ใบหน้าไล่มองไปยังหนังสือในมือของเขา กลับพบว่าแม้เขาจะยืนอย่างสงบเสงี่ยมมีมารยาท แต่ชายแขนเสื้อไหวน้อยๆ กำลังเลื่อนหนังสือที่อ่านเมื่อครู่เข้าไปซ่อนในชายแขนเสื้ออย่างแนบเนียน
ข้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก่อนถามว่า ‘เมื่อครู่เจ้าอ่านหนังสืออะไรอยู่’
หลิ่วถงอี่แสดงสีหน้ากระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบคำเหมือนไม่ได้ร้อนใจ ‘อ้อ เป็นหนังสือธรรมดาเล่มหนึ่ง’
ข้าพูดว่า ‘ให้ข้าดูบ้างได้หรือไม่’
หลิ่วถงอี่พูดว่า ‘เอ่อ แค่หนังสือของเมิ่งจื่อธรรมดาๆ ไหวอ๋องคงเคยอ่านแล้วแน่นอน’ เวลาเขาพูดสายตาทอประกายคล้ายระลอกคลื่นสะท้อนแสงจันทร์
ข้าเหลือบมองมุมหนังสือสีน้ำเงินที่โผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา ‘เช่นนั้นหรือ’ ก่อนเดินไปข้างหน้าอีกนิด จับชายแขนเสื้อข้างที่เขาซ่อนหนังสือไว้ ก้มศีรษะมองดวงตาเขาแล้วพูดว่า ‘เจ้าคงไม่ค่อยได้ซ่อนหนังสือกระมัง ตอนที่สอดเข้าไปในแขนเสื้อถึงไม่สังเกตว่าคว่ำหรือหงาย ข้าเห็นชื่อหนังสือหมดแล้ว’
ข้ายกข้อศอกเขาขึ้น หยิบหนังสือจากชายแขนเสื้อออกมา ที่หน้าปกหนังสือเขียนอักษรตัวโต ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ เป็นหนังสือตำนานจอมยุทธ์ที่เคยแพร่หลายในท้องตลาดเล่มหนึ่ง
หลานชายของหลิ่วเซี่ยนกลับอ่านหนังสือเช่นนี้
ข้ามองเขาอย่างแปลกใจ ‘เจ้าสกุลหลิ่วจริงหรือ ไม่ได้สกุลหวังหรือสกุลอวิ๋นแน่นะ’
เด็กๆ สกุลหวังและสกุลอวิ๋นล้วนฉลาดเฉลียว ทำผิดถูกจับได้ก็บอกว่าตนเองคือผู้อื่น คำโกหกประเภทนี้พูดออกมาได้โดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด
เขามองข้าอย่างงุนงง แววตาดั่งน้ำในสระที่บรรจุดวงดาว กระจ่างใสอย่างยิ่ง
ข้าม้วนหนังสือแล้วแนะนำเขาเต็มที่อย่างผู้มีประสบการณ์ ‘ ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ เป็นบทประพันธ์เลียนแบบ แต่งล้อเลียนมาจากเรื่อง ‘กระบี่เทพหยกขาว’ เขียนดีสู้ ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ไม่ได้ อีกทั้งเล่มนี้ของเจ้ายังเป็นเล่มที่ถูกตัดทอน มิใช่ฉบับเต็ม’
เขาร้องอ๊าครั้งหนึ่ง ก่อนพูดว่า ‘ข้าอ่านเล่มนี้ก็ดีมากแล้ว การใช้สำนวนในหนังสือแม้จะตรงไปตรงมาแต่ละเอียดและครอบคลุมทุกแง่มุม ตอนเริ่มอ่านรู้สึกว่าโคลงกลอนหยาบกระด้าง แต่พอละเมียดอ่านแล้วกลับรู้สึกเหมาะเจาะยิ่ง’
ข้าเห็นเขาพูดด้วยท่าทีจริงจังเช่นนี้ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ เขาเป็นหลานชายของหลิ่วเซี่ยนจริงๆ ข้าพูดต่อว่า ‘นั่นเพราะเจ้าไม่เคยอ่านของดี เจ้าตำหนักหิมะวาโยผู้นี้ประพันธ์หนังสือเรื่องเล่านับว่าธรรมดาสามัญ สำนวนล้วนลอกเลียนมาจาก ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ที่บัณฑิตใบไม้แดงเขาประจิมเป็นผู้แต่ง นอกจากนี้ยังมีนักเลงสุราฟั่นเฟือน สุภาพบุรุษชุดขาว คนเหล่านี้ถึงจะเป็นยอดนักประพันธ์’
สองตาของหลิ่วถงอี่เป็นประกาย สีหน้าเพ้อฝัน
ข้าพูดต่อไปว่า ‘เจ้าแอบไปหาที่ร้านหนังสือใดก็เจอ ตรอกเสี่ยวเฉียนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ในนั้นมีร้านหนังสือที่ขายของค่อนข้างครบถ้วน คงหาซื้อฉบับเต็มที่ไม่ได้ตัดทอนได้’
ดวงตาของหลิ่วถงอี่เป็นประกายยิ่งกว่าเดิม ข้ามองดวงตาคู่นั้นของเขาแล้วก็อดจะพูดเสริมไม่ได้ ‘แต่ถึงอย่างไรเจ้า…ก็ซื้อฉบับที่ตัดทอนแล้ว ฉบับเต็มเจ้าคงไม่เหมาะที่จะอ่าน’
หนังสือเรื่องเล่าพวกนี้มีไม่น้อยที่เขียนบรรยายความรักระหว่างจอมยุทธ์กับหญิงสาว ฉบับที่ตัดทอนแล้วก็คือฉบับที่ตัดทอนเรื่องพวกนี้ออกไป ข้าย่อมไม่อ่านพวกนั้นแน่นอน แต่ฉบับเต็มเหล่านั้นเกรงว่าหลานชายของหลิ่วเซี่ยนคงรับไม่ได้
หลิ่วถงอี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เพราะเหตุใดหรือ’
ข้าได้แต่พูดอ้อมๆ ‘ในฉบับเต็มมีบรรยายถึงเรื่องราวระหว่างชายหญิงค่อนข้างโจ่งแจ้ง’
หลิ่วถงอี่พูดว่า ‘โจ่ง…’ เขาคงอยากถามว่าโจ่งแจ้งอย่างไร แต่พอหลุดปากออกมาก็เข้าใจแล้ว คำพูดต่อไปถึงไร้เสียง ภายใต้แสงจันทร์และแสงโคม ข้าเห็นใบหน้าเขาแดงระเรื่อ
ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘ฮ่าๆ เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วเจ้าอ่านฉบับที่ตัดทอนแล้วดีกว่า’
หลิ่วถงอี่ถลึงตามองข้าไม่พูดจา รอยแดงบนใบหน้านั้นคล้ายจะเข้มขึ้นเล็กน้อย
ขณะข้ากำลังหัวเราะอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ จึงคืนหนังสือเขาไปทันที ‘มีคนกำลังมาแล้ว เจ้าซ่อนหนังสือไว้ให้ดี จำไว้ว่าเวลาแอบอ่านที่บ้าน ห้ามซ่อนไว้ใต้เครื่องนอน เวลาข้ารับใช้จัดเตียงจะถูกสะบัดออกมาได้ง่าย ซ่อนไว้ใต้ไม้กระดานเตียงไว้ใจได้ที่สุด’ ข้าเข้าไปใกล้เขากระซิบเสียงเบา ‘ตอนยังเด็กข้าโดนตีเพราะซ่อนไว้ไม่ดี นี่เป็นประสบการณ์โชกเลือดเลยทีเดียว’
หลิ่วถงอี่ฟังข้าตาไม่กะพริบก่อนหลุดหัวเราะ
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกข้า ‘ท่านอ๋อง ที่ยืนอยู่ตรงนั้นใช่ไหวอ๋องหรือไม่ ฝ่าบาททรงเรียกท่านเข้าเฝ้า’
ข้ารีบกล่าวขอตัว หลิ่วถงอี่เก็บหนังสือแล้วยืนนิ่ง รอจนข้าเลี้ยวตรงมุมทางเดินเล็ก เขาจึงเดินไปตามระเบียงทางเดิน
หลังจากครั้งนั้นข้าก็ไม่ได้เจอเขาอีก คนสกุลหลิ่วไม่ชอบเอิกเกริก ข่าวคราวของเขาข้าแทบจะไม่เคยได้ยิน จนค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้ว
จนกระทั่งหลายปีจากนั้น ฉีเจ่อขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน หลังจากปีนั้นก็มีการสอบขุนนาง หลิ่วถงอี่สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน** เพียงคืนเดียวชื่อเสียงขจรทั่วเมืองหลวง ข้าจึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้
ในงานเลี้ยงพระราชทานสำหรับบัณฑิตเอกขั้นสาม*** ข้าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงาน งานเลี้ยงจัดขึ้นที่อุทยานหลวงข้างสระน้ำดั่งเช่นที่เคยเป็นมา
เมื่อข้ามาถึงวังหลวง บัณฑิตเอกขั้นสามกับขุนนางหลายท่านต่างมากันครบแล้ว เหลือเพียงฝ่าบาทที่ยังไม่เสด็จมา
ข้าเดินเข้าไปในอุทยานหลวง มองเห็นชุดสีแดงสดของขุนนางอันดับหนึ่งท่ามกลางพุ่มดอกเสาเย่า**** เรื่องราวของวันที่สิบห้าเดือนแปดเมื่อหลายปีก่อนได้ถูกรื้อฟื้นออกมาจากใจ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่แอบอ่านหนังสืออ่านเล่นเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรแล้ว ตอนนั้นเขารูปงามไร้คนเทียบ แต่บางคนตอนเด็กน่ามอง รอจนค่อยเจริญวัยเต็มที่แล้วมักเติบโตไปในทิศทางเหนือจินตนาการ แต่อย่างไรก็ขอให้อย่าได้มีหน้าตาเหมือนหลิ่วเซี่ยนที่ไร้หนวดเครา ผิวเหี่ยวย่น และผมขาวโพลนก็แล้วกัน
พอข้าได้เผชิญหน้ากับเขาจะถือโอกาสถามประโยคหนึ่งว่าได้อ่าน ‘กระบี่เทพหยกขาว’ หรือไม่ แล้วอ่านฉบับเต็มหรือฉบับตัดทอน
คนในชุดจ้วงหยวนสีแดงสดนั้นหันหลังให้ข้า กำลังสนทนากับปั่งเหยี่ยน ทั่นฮวา และขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน ราชเลขาธิการที่หันหน้ามาด้านทางเดินเห็นข้าก่อนคนแรก เขายิ้มแล้วพูดว่า ‘ไหวอ๋องเสด็จมาถึงแล้ว คำนับไหวอ๋อง’
ข้าเดินพลางพูดว่าไม่ต้องมากพิธี คนที่เหลือกลับทยอยหันมา ข้าเห็นคนชุดแดงหมุนกาย เพียงเด็กหนุ่มข้างสระน้ำสะท้อนแสงจันทร์โอบอุ้มดาราสีเงินเมื่อหลายปีก่อนหันมาราตรีพลันสลาย แสงอรุณสว่างจ้า กลิ่นดอกกุ้ยอบอวล ใบถงดั่งหยก ดอกยี่เข่งบานสะพรั่ง
เขายกชายแขนเสื้อขึ้น พูดเสียงเบา ‘คำนับท่านอ๋อง’
ข้าได้ยินเสียงตนเองพูดขึ้นว่า ‘หลิ่วจ้วงหยวนมิต้องมากพิธี’ และในพริบตานั้นเองที่ประโยคที่ข้าเตรียมจะพูดล้อเขาเล่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็พูดออกมาไม่ได้
คนเราก็แปลกประหลาดเช่นนี้เอง ข้าถูกคนใต้หล้าคิดว่าเป็นอ๋องชั่ว รู้สึกถูกใส่ร้ายจนทนไม่ได้ คิดเสมอว่าตนเองเป็นคนดีเป็นขุนนางซื่อตรง แต่เวลานี้เห็นหลิ่วถงอี่แล้ว ข้าพลันรู้ในเวลานั้นเองว่าข้ากับเขาในชาตินี้ถูกขีดชะตาให้เป็นคนคนละประเภทกัน
คล้ายตรงหน้ามีเส้นขีดแบ่งไว้อย่างชัดเจน เขายืนด้านนั้นของเส้น เป็นเหมือนน้ำในทะเลสาบ ใสจนไม่อาจใสได้อีกภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ส่วนข้ายืนอยู่อีกฝั่ง คล้ายน้ำแกงเส้นบะหมี่ที่ขุ่นข้น ในแสงสว่างรอบด้านนั้นแฝงด้วยความมืด ในความมืดก็มีแสงสว่าง แต่ไม่อาจสู้ทางฝั่งนั้นที่ฟ้ากระจ่างสดใสได้
อวิ๋นถังกระซิบพูดกับข้า ‘หลายปีต่อจากนี้คงกลายเป็นหลิ่วเซี่ยนอีกคน’
ข้าพูดว่า ‘เป็นไปได้ หรืออาจจะเก่งกาจกว่าหลิ่วเซี่ยน’ อย่างน้อยก็ต้องไม่มีหน้าตาเหมือนหลิ่วเซี่ยนแน่นอน
จนกระทั่งก่อนหน้านี้หนึ่งปี หลิ่วถงอี่ครอบครองตราเสนาบดีครั้งแรก ร่างในชุดขุนนางสีน้ำเงินยืนตระหง่านในท้องพระโรง ในราชวงศ์นี้ไม่เคยมีคนอายุน้อยได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีมาก่อน เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้สวมชุดและมายืนในตำแหน่งนี้ อวิ๋นถังพูดกับข้าว่า ‘สายตาไหวอ๋องมองคนได้แม่นยำนัก’
ข้าตอบอย่างถ่อมตน ‘แค่พอใช้การได้เท่านั้น’
มิรู้ว่า ‘ตำนานจอมยุทธ์เคราคราม’ ใต้แสงโคมทางเดินของอุทยานหลวงเมื่อครั้งนั้นได้ถูกตำราปรัชญาเมธี ตำราพิชัยสงคราม การปกครองบ้านเมืองฝังไว้ในหลืบมุมใดแล้ว หรืออาจกลายเป็นเถ้าธุลี ถูกปัดทิ้งไปแล้ว
แต่ข้ากลับถูก ‘เขา’ ในอุทยานหลวงเมื่องานเลี้ยงครั้งนั้น ‘เขา’ ที่สวมชุดเสนาบดียืนสุขุมกลางท้องพระโรงจับกุมเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณผูกติดไว้กับชายแขนเสื้อของตน คล้ายลาที่ถูกเชือกล่าม แม้รู้ว่าเดินวนเป็นวงกลมนั้นโง่เขลาแต่ก็อดไม่ได้ ไม่อาจไม่เดินวนอยู่อย่างนั้น
* ยวนยางหรือเป็ดแมนดาริน เป็นนกเป็ดน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในจีน มีนิสัยชอบอยู่กันเป็นคู่ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของคู่ชีวิตและความรัก
** จ้วงหยวน (จอหงวน) คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น
*** บัณฑิตเอก คือผู้ที่ผ่านการสอบเตี้ยนซื่อ (การสอบหน้าพระที่นั่ง) แบ่งระดับตามคะแนนเป็นสามขั้น ขั้นที่หนึ่งคือผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา จากนั้นจึงเป็นบัณฑิตเอกขั้นสองและขั้นสามตามลำดับ
**** ดอกเสาเย่า เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับโบตั๋น ดอกขนาดใหญ่ทรงเหมือนถ้วย กลีบดอกมีทั้งสีม่วงอมแดง สีชมพู สีขาวอมแดง หรือสีขาวล้วน และเกสรสีเหลือง