เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

คนโบราณเคยกล่าวไว้ ขมขื่นเพราะความรักถึงขั้นหนึ่งจะได้เป็นปราชญ์

ไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ของข้านับว่าเป็นนักปราชญ์หรือมหาปราชญ์กันแน่

ข้าลอบมองหลิ่วถงอี่ที่อยู่ข้างกายอีกครั้ง หากเขาเป็นเหมือนอวิ๋นอวี้ได้ก็คงดี สวมชุดสีสว่างสดใสบ่อยครั้งคงจะดีกว่านี้ ผมของเขาไม่มัดทั้งหมดก็คงจะดียิ่งขึ้นไปอีก

หากในอนาคตข้าได้กระทำเรื่องมีคุณธรรมขนาดฟ้าดินยังซาบซึ้ง หรือเส้นขีดแบ่งตรงกลางนั้นหายวับไป ถึงตอนนั้นหากข้าเอ่ยปากชวนเขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันจริงๆ เขาจะยินยอมหรือไม่

แม้ข้าจะเฝ้าคิดถึงแต่หลิ่วถงอี่ แต่ก็ไม่คิดต้องการให้เขามาเป็นอะไรกับข้าจริงๆ อย่างมากก็เพ้อพกให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงเท่านั้น หรือไม่ก็เพิ่มการเล่นหมาก พูดคุย จิบชาด้วยกันบางครั้ง นั่นก็เพียงพอ

ข้าถูกตนเองทำให้ตื้นตันใจ ก่อนมองแสงอัสดงด้วยอาการทอดถอนใจอีกครา

ทันใดนั้นข้างกายข้ามีเสียงโอดครวญยานคางดังขึ้น “เสด็จอา…”

วิญญาณของข้าถูกดึงจากแสงยามเย็นกลับเข้าร่าง เอียงหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าตัดพ้อของฉีถาน

ข้าแปลกใจ “ไยจู่ๆ เจ้าก็โผล่ขึ้นมาได้”

ฉีถานจิกตามองข้าอย่างตัดพ้อ “เสด็จอา หลานตามท่านมาตั้งนานแล้ว เรียกท่านหลายครั้ง ท่านไม่มองหลานสักนิด”

ข้าพูดว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ ข้ากำลังคิดอะไรบางอย่าง เลยไม่ทันได้สังเกต” เมื่อครู่ข้าเหม่อลอยอย่างหนัก มิรู้ว่าเสียมารยาทต่อหน้าหลิ่วถงอี่บ้างหรือไม่

ข้าแสร้งมองหลิ่วถงอี่ครั้งหนึ่งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ยังดีที่สีหน้าเขาปกติ มุมปากอมยิ้มบาง คงไม่มีอะไร

ข้ากำลังจะเอ่ยปาก ด้านหลังก็มีเสียงพูดดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “ไต้อ๋อง ข้าน้อยพูดถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ หากไม่ถึงประตูวังหลวง ไหวอ๋องเรียกสติกลับคืนไม่ได้แน่ พนันครานี้ท่านแพ้แล้ว”

ผู้พูดเคลื่อนมาอยู่ข้างกายฉีถาน ข้าถามว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ไยท่านถึงอยู่กับฉีถานได้เล่า”

อวิ๋นอวี้ยิ้มๆ ฉีถานแย่งพูดขึ้นก่อน “เสด็จอา ระหว่างทางที่ข้าวิ่งตามท่านกับเสนาบดีหลิ่วบังเอิญพบใต้เท้าอวิ๋น ท่านอย่าได้เข้าใจผิด”

ที่เจ้าบอกว่าอย่าเข้าใจผิดมันหมายถึงอะไรกัน

อวิ๋นอวี้ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วบังเอิญพบกันอีกแล้วหรือ”

“อา ใช่แล้ว บังเอิญพบเช่นกัน แค่บังเอิญเท่านั้น” ข้าตอบ

หลิ่วถงอี่ชะงักฝีเท้าแล้วพูดว่า “ไหวอ๋อง ไต้อ๋องคล้ายมีเรื่องต้องการสนทนากับท่าน เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”

ข้าพูดขึ้นว่า “โปรดรั้งอยู่ก่อน”

ฉีถานเองก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วโปรดรั้งอยู่ก่อน” ส่วนอวิ๋นอวี้ยืนมองอยู่ด้านข้าง

หลิ่วถงอี่กล่าวว่า “ท่านอ๋องทั้งสองมีเรื่องอันใด”

ข้าพูดว่า “อ้อ ข้าไม่มีเรื่องอันใด แต่บางทีไต้อ๋องอาจไม่ได้แค่มาหาข้า บางทีอาจมีเรื่องต้องการพูดจากับท่าน จึงขอให้เสนาบดีหลิ่วรั้งอยู่ก่อน”

อวิ๋นอวี้ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ถูกต้องแล้ว ไหวอ๋องขอให้เสนาบดีหลิ่วรั้งอยู่ได้ทันเวลาก่อนที่ไต้อ๋องจะเอ่ยปากเสียอีก เห็นทีไต้อ๋องคงมีเรื่องต้องการพูดคุยกับเสนาบดีหลิ่วจริงๆ”

วันนี้อวิ๋นอวี้นับว่าไม่ยอมแพ้หลานของข้าแล้ว แต่ละคนแข่งกันพูดจาไม่รื่นหู

โชคดีที่ดูไปแล้วหลิ่วถงอี่คล้ายไม่ได้ใส่ใจความหมายที่แอบแฝงอยู่นัก ฉีถานก็พูดขึ้นได้ทันเวลา “เป็นเช่นนี้ หลายวันก่อนรบกวนท่านเสนาบดีหลิ่วกับเสด็จอาตรวจสอบของโบราณถึงรู้ว่าเป็นของปลอม ทำให้ข้ามิต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ข้าได้เตรียมโต๊ะจัดงานเลี้ยงที่วังของข้า ขอเชิญเสด็จอากับเสนาบดีหลิ่วให้เกียรติไปวันนี้ด้วย”

เจ้าเด็กฉีถานนี่ ไม่เสียทีที่ข้าเอ็นดูมาตั้งแต่เล็ก เป็นงานเป็นการขึ้นมากแล้ว

หลิ่วถงอี่ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ตอบรับโดยง่าย ข้าเองก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเช่นกัน

อวิ๋นอวี้พูดว่า “เห็นทีคงไม่มีเรื่องอันใดของข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน” ทำทีจะหมุนตัวจากไป

ฉีถานรีบพูดขึ้นว่า “เชิญใต้เท้าอวิ๋นให้เกียรติร่วมงานเช่นกัน เมื่อครู่ข้าพนันแพ้ สมควรเลี้ยงข้าวใต้เท้าอวิ๋น” ก่อนจะหันมาพูดกับข้า “เสด็จอา ถูกต้องหรือไม่”

ไยวันนี้ฉีถานพูดจาแปลกประหลาดนัก

ข้าได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง ตามเหตุผลควรเป็นเช่นนี้”

อวิ๋นอวี้มองฉีถานก่อนจะมองข้า “เช่นนั้นข้าน้อยก็ไปด้วย ไต้อ๋องมีสุราดีที่วังก็อย่าได้แอบซ่อนไว้”

ฉีถานพลันยิ้มพูดว่า “แน่นอน หากข้ากล้าแอบซ่อน เสด็จอาต้องไม่ยินยอมแน่”

เห็นประตูวังหลวงอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ฉีถานก็พลันดึงชายแขนเสื้อของข้าแล้วลากข้าไปด้านหลังหลายก้าว เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เอนตัวมากระซิบข้างหูของข้า “เสด็จอา ใต้เท้าอวิ๋นกับข้าตามท่านมาครึ่งค่อนวัน เห็นท่านมัวแต่เดินเคียงข้างไปกับเสนาบดีหลิ่ว อีกสักครู่เวลากินข้าว หลานจะต้อนรับเสนาบดีหลิ่วเอง เสด็จอาพูดจาแต่กับใต้เท้าอวิ๋นก็พอ”

ข้าสำลัก “ใต้เท้าอวิ๋นน่ะหรือ”

ฉีถานดึงชายแขนเสื้อข้า หลิ่วตาซ้าย “เสด็จอา คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่หลานรู้”

เจ้า…รู้อะไรกัน

ฉีถานพูดกับข้าข้างหู “ครั้งก่อนข้ายังพูดกับเสด็จพี่อยู่เลย หลายปีมานี้…เฮ้อ…” เขาทิ้งประโยคนี้ไว้ ปล่อยชายแขนเสื้อของข้าแล้วพุ่งตรงไปหาหลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว”

 

ข้ารู้แล้วว่าที่ฝ่าบาทเอ่ยว่าข้ามีอะไรไม่ชัดเจนกับอวิ๋นอวี้เป็นใครที่เริ่มเปิดประเด็นนี้

ข้าหมดหวังในตัวไต้อ๋องแล้ว ข้าถูกเขาทำให้เคืองจนเจ็บปอด จะด่าว่าลูกเต่าสักประโยคก็ทำไม่ได้ หากเขาเป็นลูกเต่า ข้ามิใช่อาของลูกเต่าหรอกหรือ

ข้าผ่อนลมหายใจกลับไปเปลี่ยนชุดที่วัง แล้วไปยังวังไต้อ๋อง

หลิ่วถงอี่กับอวิ๋นอวี้ต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว ฉีถานเก่งเรื่องยุ่งยากนัก กินข้าวกันสี่คน เขาเตรียมไว้สองโต๊ะ

โต๊ะสี่เหลี่ยมยาวสองตัว จัดวางไว้ตรงกันข้ามคนละฟากของห้องโถงเล็ก

บนโต๊ะวางไว้ด้วยสุราอาหาร ด้านหลังของแต่ละโต๊ะมีเก้าอี้สองตัว พอดีเขากับหลิ่วถงอี่นั่งโต๊ะตัวหนึ่ง ข้ากับอวิ๋นอวี้นั่งโต๊ะอีกตัวหนึ่ง เขาช่างจัดแจงเก่งเสียจริง

ระหว่างโต๊ะยาวนี้กับโต๊ะยาวนั้นกั้นไว้ด้วยโถงกว้างประมาณสิบหมื่นแปดพันลี้

ข้าพูดว่า “กินข้าวกันสี่คน เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่น เจ้าจัดโต๊ะเดียวก็พอแล้ว ทั้งครึกครื้นทั้งใกล้ชิดสนิทสนม หรือเจ้ากลัวอาอย่างข้ากับใต้เท้าอวิ๋นจะแย่งกับข้าวเจ้ากิน”

“เสด็จอา เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นล้วนเป็นแขกสำคัญ จัดโต๊ะเดียววางอาหารจะธรรมดาไป ถือว่าต้อนรับไม่ดี อีกครู่ข้ามีของจัดเตรียมไว้อีก” ฉีถานพูดจบก็ยกการินสุราให้หลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว เชิญ”

หลิ่วถงอี่โค้งกายเล็กน้อย “ข้าน้อยมิกล้ารับ ให้รินเองก็พอ” แล้วก็รับกามาจากมือของฉีถาน มิรู้ว่าข้ามองผิดไปหรือไม่ ฉีถานคล้ายจงใจหรือไม่จงใจลูบมือของหลิ่วถงอี่

อวิ๋นอวี้ถือกาสุรากำลังรินสุราพลางใช้ศอกกระทุ้งแขนของข้าเบาๆ ส่งสายตามองไปทางฉีถาน เขาเองก็มองเห็น มิใช่ข้าคิดมากไป

ข้ากินอาหารไปมองฝั่งตรงข้ามไป ฉีถานวุ่นวายไปมาไม่ได้หยุดหย่อน

“เสนาบดีหลิ่ว ท่านลองชิมอันนี้ เป็นของบรรณาการจากแคว้นตะวันตก เรียกว่าไส้กรอกอะไรนั่น ด้านในเป็นเนื้อหมูตะวันตก มิใช่หมูธรรมดา”

ไร้อารยธรรม

“เสนาบดีหลิ่วรู้สึกว่าอาหารจานนี้มีรสชาติเป็นเช่นไร จืดไปหรือเค็มไป”

ข้าวางถ้วยเปล่า แล้วหยิบกาสุรามารินใส่จอกจนเต็ม อวิ๋นอวี้ถือตะเกียบคีบเมล็ดซิ่งเหริน* เล่น วันนี้ฉีถานทุ่มเทกำลังให้กับการต้อนรับหลิ่วถงอี่แล้ว อวิ๋นอวี้ไม่กินของที่มีรสชาติหวานและเค็ม ข้าเห็นอาหารไม่กี่อย่างตรงหน้าเขาเป็นของรสหวานและเค็มทั้งนั้น ข้าพับชายแขนเสื้อขึ้น แล้วย้ายอาหารที่ยังไม่ได้แตะต้องตรงหน้าข้าไปเปลี่ยนกับเขา อวิ๋นอวี้พูดกับข้าเสียงเบา “ไยข้าน้อยรู้สึกว่าไต้อ๋องคิดแย่งคนกับท่าน”

ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้าจำได้ว่าเจ้าเด็กฉีถานมิได้มีความชมชอบใดที่เหมือนกับอาอย่างข้าเลย อวิ๋นอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพูดว่า “ท่านอ๋องไม่เชื่อก็แล้วไป ต้องการพนันกับข้าน้อยหรือไม่”

ครู่เดียวข้าก็เข้าใจจุดประสงค์แท้จริงที่ฉีถานขยันเอาใจใส่เช่นนี้

ข้ารับใช้สองคนเดินยกโต๊ะเล็กมาวางไว้ตรงกลางโถง บนโต๊ะวางไว้ด้วยกล่องผ้าแพรกล่องหนึ่ง

ฉีถานยิ้มหวานพูดกับหลิ่วถงอี่ว่า “เสนาบดีหลิ่ว ข้าไม่เคยมีงานอดิเรกอื่นใด ชื่นชอบแค่การสะสมของโบราณเหล่านี้ วันนี้พอดีเชิญท่านมาแล้ว ก็มีของเล่นไม่กี่อย่างอยากรบกวนเสนาบดีหลิ่วช่วยดูให้ด้วย” วางตะเกียบงาช้างในมือลง ปรบมือ ข้ารับใช้สองคนนั้นก็เปิดกล่องออก ประคองขวดหยกใบหนึ่งออกมา

ฉีถานพูดว่า “ของสิ่งนี้เล่ากันว่าเป็นของแทนใจที่หลี่ว์ปู้เหวย** มอบให้แก่จ้าวจี*** บนขวดยังมีลายกิ่งดอกท้อ มอบรักผ่านบุปผา เสนาบดีหลิ่วคิดว่าขวดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

หลิ่วถงอี่มองขวดนั้น ยิ้มบางพร้อมพูดว่า “เป็นหยกที่ดี”

จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก

ฉีถานรอสักครู่จึงถามต่อ “เป็นของสมัยใด”

หลิ่วถงอี่ตอบว่า “ข้าน้อย ไม่ค่อยแน่ใจ”

สีหน้าของฉีถานเครียดขึง ในเรื่องแบบนี้เขามิใช่คนโง่ หลิ่วถงอี่เห็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่กล้าพูดออกมา

ฉีถานโบกมือ สองคนนั้นก็วางขวดไว้ในกล่องผ้าแพรแล้วยกออกไป ครู่หนึ่งก็ยกอีกกล่องหนึ่งกลับมา ในนั้นวางไว้ด้วยกาสุราใบหนึ่ง ฉีถานพูดว่า “สิ่งนี้เป็นของใช้สมัยเดียวกับขวดนั้น อิ๋งเจิ้ง**** เคยใช้มาก่อน”

หลิ่วถงอี่ชื่นชมลายดอกไม้บนกาสุรานั้นเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่กล่าววาจาต่อ สีหน้าของฉีถานดำคล้ำอีกครั้ง

ข้านั่งอยู่ด้านข้างมองเขาใช้คนยกของออกมาทีละชิ้นด้วยสายตาเย็นชา มองเขาค่อยๆ เหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ จนใจแข็งต่อไปไม่ได้ ถอนหายใจพูดกับอวิ๋นอวี้เสียงค่อย “ซื้อก็ซื้อมาแล้ว หากเป็นของจริงก็ดีไป เหตุใดต้องมาทรมานตนเองด้วย”

อวิ๋นอวี้เหลือบมองข้า “ท่านอ๋องมองดูเหมือนจะปวดใจ”

ข้าถอนหายใจ “แน่นอนว่าต้องปวดใจ ในจำนวนเงินที่ซื้อของเหล่านี้เป็นของข้ามากกว่าของไต้อ๋องเสียอีก”

อวิ๋นอวี้ยกมือขึ้นรินสุราให้ข้าจนเต็ม “เงินของท่านถูกจ่ายเพื่อเอ็นดูหลาน มิได้เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด” รอยยิ้มสมน้ำหน้าชัดเจนยิ่ง

ของโบราณแสนรักของฉีถานถูกยกเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับโยนทิ้ง ม้าปั้นดินเผาเพิ่งถูกยกออกไปก็มีนางกำนัลหน้าตางดงามยกจานหยกเข้ามา

อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไยคราวนี้เปลี่ยนเป็นสาวงามเสียแล้ว”

ฉีถานพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นคงยังมิทราบว่าของมีค่านี้ต้องให้สตรีเป็นคนถือ”

นางกำนัลคนงามถือจานหยกแล้วคุกเข่าลง บนจานหยกถูกรองไว้ด้วยผ้าต่วนสีเหลือง ด้านบนคือหยกแผ่นหนึ่ง

ฉีถานพูดว่า “ของสิ่งนี้คือของที่อยู่ในปากของท่านหญิงแคว้นอู๋ตอนฝังศพ ทำให้ศพไม่เปื่อยเน่า รูปลักษณ์ยังเหมือนตอนยังมีชีวิต พลังหยินค่อนข้างรุนแรง ไม่ว่าตอนไหนเมื่อถือไว้ในมือจะรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง เสนาบดีหลิ่วลองลูบดู”

ข้าอดพูดไม่ได้ว่า “ของที่คนตายอมไว้ในปาก เจ้าให้เสนาบดีหลิ่วลูบจับบนโต๊ะอาหาร ไม่คิดจะให้เสนาบดีหลิ่วกินข้าวต่อแล้วใช่หรือไม่”

ฉีถานชะงักไปคล้ายเพิ่งคิดได้จึงรีบขออภัย แน่นอนหลิ่วถงอี่ย่อมบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยกมือไปแตะที่แผ่นหยกนั้นจริงๆ จากนั้นพูดว่า “ของสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าจริงๆ หาได้ยากยิ่ง ข้าน้อยเคยได้อ่านเจอแต่ในตำรา ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นของจริงที่วังของท่านอ๋อง ช่างเป็นวาสนายิ่ง”

ฉีถานอึ้งไปจนตาค้าง จ้องหลิ่วถงอี่เขม็ง “เสนาบดีหลิ่ว ท่านพูดจริงหรือ”

หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย “ของสะสมของท่านอ๋องไม่ธรรมดาจริง”

ฉีถานคล้ายลูกสำรองที่แช่น้ำ แย้มยิ้มหน้าบานอล่างฉ่าง

 

* ซิ่งเหริน หมายถึงอัลมอนด์

** หลี่ว์ปู้เหวย เดิมเป็นพ่อค้าในสมัยจั้นกั๋ว เมื่อไปค้าขายยังแคว้นจ้าว เขาได้พบกับจื่อฉู่ องค์ชายตกยากผู้มีนามเดิมว่าอี้เหริน บุตรชายของรัชทายาทแคว้นฉิน โอกาสที่จื่อฉู่จะได้เป็นรัชทายาทแคว้นฉินริบหรี่มาก หลี่ว์ปู้เหวยมองการณ์ไกลคิดจะช่วยให้จื่อฉู่ได้เป็นเจ้าแคว้นฉินเพื่อประโยชน์ของตนเองในวันหน้า จึงวางแผนอย่างแยบยล แม้กระทั่งจื่อฉู่เอ่ยปากขอจ้าวจี อนุภรรยาของหลี่ว์ปู้เหวย เขาก็ยกให้ เมื่อจื่อฉู่ได้ขึ้นเป็นเจ้าแคว้นฉินก็แต่งตั้งหลี่ว์ปู้เหวยเป็นอัครมหาเสนาบดี เพียบพร้อมด้วยอำนาจและลาภยศ

*** จ้าวจี อดีตอนุภรรยาของหลี่ว์ปู้เหวย ซึ่งต่อมาได้เป็นสนมเอกและไทเฮาของนครรัฐฉิน พระมารดาของจิ๋นซีฮ่องเต้

**** อิ๋งเจิ้ง คือพระนามเดิมของจิ๋นซีฮ่องเต้

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com