เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3.2

 

เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม

ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหนักตามลำพัง

ปกติไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้ภายใต้ดวงจันทร์ ในเงาต้นไม้ ข้านั่งอยู่เช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาบ้าง

มาๆ ไปๆ ล้วนเป็นคำลวง ลวงเสียจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือจริง

ก็คล้ายกับหลิ่วถงอี่ ชีวิตนี้ชาตินี้หวังให้เขากับข้าพูดซื่อตรงจากใจไร้วาจาตามมารยาทเกรงว่าคงเป็นได้แค่ฝัน

เมื่อครู่ที่วังไต้อ๋อง ก่อนไปอวิ๋นอวี้ยังพูดกับข้าประโยคหนึ่ง ไม่พ้นบอกข้าอย่าได้ลืมนัดที่หอเยวี่ยหวา

หอเยวี่ยหวา พวกอวิ๋นถังต้องการปรึกษากับข้าว่าจะลงมือเมื่อใด

เตรียมการหลายปี วางแผนหลายปี เมื่ออรุณเบิกฟ้าในที่สุดจะได้กำหนดชะตาแผ่นดิน

หลายปีก่อนจำได้ว่าก็เป็นคืนที่แสงจันทร์สาดส่องเช่นนี้ อวิ๋นถังกับหวังฉินพูดกับข้าว่า ‘เจ้าเด็กไร้คุณธรรมครองตำแหน่งฮ่องเต้ สตรีโง่งมยึดอำนาจราชสำนัก เพื่อแผ่นดินและราษฎร บรรดาข้าน้อยเลือกสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายทรงคุณธรรม หวังให้ไหวอ๋องครองแผ่นดิน’

ล้วนเป็นคำเลอะเลือน

ความสามารถของฉีเจ่อนั้นอดีตฮ่องเต้ก็ไม่อาจเทียบ ย่อมต้องเป็นรัชสมัยฮ่องเต้ทรงคุณธรรม ไทเฮาเป็นสตรีโง่งมก็จริง แต่โชคดีที่พระนางโง่งมโดยเนื้อแท้ ขอเพียงฉีเจ่ออายุมากกว่านี้อีกสักนิด พระนางก็ไม่อาจยึดอำนาจราชสำนักได้อีก แค่เพราะข้าเป็นผู้ชมชอบบุรุษและไร้ความสามารถ อีกทั้งเล่าลือกันว่าวังไหวอ๋องมีขุมกำลังลับที่สามารถล้มล้างราชวงศ์ได้ อวิ๋นถังกับหวังฉินถึงร่วมกันมาหาข้า รอจนหลังจากแย่งชิงบัลลังก์มาได้สำเร็จค่อยกำจัดบันไดปีนกำแพงอย่างข้า สองฝ่ายต่อสู้แย่งชิงกันและกัน ผู้ชนะคนสุดท้ายได้ครองใต้หล้า

นี่เป็นเรื่องที่ขนาดคนโง่ยังดูออกทะลุปรุโปร่ง

ดังนั้นข้าจึงตอบรับ

ร่วมมือวางแผนกับอวิ๋นถังและหวังฉินมาจนถึงทุกวันนี้

ข้าจำได้ว่าตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่เคยบอกข้าไว้ ‘บิดาของเจ้ามีคุณูปการสูงเกินไป พลอยทำให้เจ้ากับทายาทของเจ้าต้องโดนหวาดระแวงไปด้วย การเมืองราชสำนักก็เป็นเช่นนี้ ขอแค่ปลีกตัวออกมาได้เร็ว ซ่อนเร้นในป่าเขา ถึงสามารถมีจุดจบที่ดี’

ผู้ใหญ่อย่างนางเข้าใจชัดแจ้งมาตลอด ข้ากลับไม่ได้ทำตามคำสั่งสอนของนาง

อาจเป็นเพราะท้ายที่สุดแล้วในตัวข้ายังมีเลือดร้อนที่เหมือนกับบิดาไหลเวียนอยู่บ้าง ข้าเพียงแค่ไม่ยอมแพ้ ยังไม่พร้อมใจจะยอมแพ้

ข้าจำได้ว่าเมื่อข้ายังเป็นเด็ก บิดาของข้ากลับจากสงคราม เวลาที่เอ่ยถึงสนามรบก็จะมีท่าทีสดชื่นแจ่มใส ในใจของเขามีแต่แผ่นดิน มีแต่ความจงรักภักดี มีแต่ใต้หล้าของสกุลจิ่งเท่านั้น

แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับมีแต่ความหวาดระแวง มีแต่ฉายาว่าเป็นเนื้อร้ายซึ่งลูกชายอย่างข้าแบกรับอยู่ตอนนี้

ข้าเพียงแค่คิด คิดว่าหลังจากใช้ชีวิตธรรมดามาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว จะสามารถกระทำเรื่องลั่นฟ้าสะเทือนดิน ทำให้บรรดาคนที่ได้ชื่อว่าฝ่ายคุณธรรมและคนใต้หล้าได้เข้าใจว่าวังไหวอ๋องมิใช่รังของเนื้อร้าย ไหวอ๋องสองอักษรนี้ต้องเขียนไว้ในบันทึกขุนนางผู้จงรักภักดี มิใช่บัญชีขุนนางชั่ว

บิดาข้าออกรบชั่วชีวิต เพียงต้องการให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง ให้ราษฎรทั่วหล้าสงบสุข

อย่างน้อยก็ทำได้เหมือนกับเขา ช่วยรักษาแผ่นดินที่เขาปกป้องมาชั่วชีวิตสักครั้ง

มิใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพราะข้าเรียกขานเขาว่าบิดา

หรือบางทีอาจไม่เสียทีที่ฉีเจ่อเรียกข้าว่าเสด็จอามาหลายปี ไม่ว่าจะเรียกด้วยใจจริง หรือเรียกตามมารยาท

แต่หลังจากเรื่องนี้แล้ว ข้าจะเป็นเช่นไร จะเกิดผลเช่นไร ข้าคงคาดเดาไม่ถูก

บางทีหลิ่วถงอี่อาจเรียกข้าว่าไหวอ๋องด้วยความเต็มใจสักครั้ง ฉีเจ่ออาจเรียกข้าว่าเสด็จอาจากใจจริงก็เป็นผลที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้ว

ข้าชมจันทร์ร่ำสุรา พลันคิดได้ว่าเส้นทางที่ข้าเดินตอนนี้โง่เขลากว่าบิดาในตอนนั้นเสียอีก แผ่นดินราชสำนักเกี่ยวกับข้าตรงไหน ไม่มีข้าคนนี้ก็คงเหมือนเดิม หากข้าไม่ได้เป็นสายลับทางฝั่งอวิ๋นถังกับหวังฉิน พวกเขาจะกบฏก็คงไม่สำเร็จ อย่างมากก็ไม่อาจกำจัดกองกำลังทั้งหลายได้สะอาดหมดจดเท่านั้น อาจเกิดความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ขอแค่จับหัวหน้าตัวการได้ก็ยากที่จะทำการใหญ่

เช่นนั้นข้าจะเป็นสายลับนี้ไปเพื่ออะไร

หากไม่ทำ ข้าก็ยังเป็นไหวอ๋องผู้ใช้ชีวิตธรรมดาไปวันๆ คนเดิม ถูกบรรดาฝ่ายคุณธรรมเห็นเป็นเนื้อร้าย ถูกฮ่องเต้และมารดาเขาเพ่งเล็งชั่วชีวิต

ดังนั้นเหตุผลที่ข้าต้องการทำเรื่องที่สวรรค์ยังซาบซึ้งนั้นเป็นสิ่งลวง เป้าหมายของข้าอาจแค่เพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียงดีงามเท่านั้น

ชื่อเสียงดีงามจะได้รับหรือไม่ยังไม่รู้

ครุ่นคิดไปเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งลึก ยิ่งคิดยิ่งวกไปวนมา สุดท้ายดื่มจนตนเองเมามาย ในความมึนงงสับสนพบว่าตนเองหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอย่างมึนงงสับสนอีกครั้งก็พบว่าข้าหลับอยู่บนเตียง ฟ้าสว่างมากแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านเฉายืนอยู่ที่หัวเตียงข้า “ท่านอ๋องตื่นแล้ว เมื่อวานกลางดึกบ่าวเห็นท่านอ๋องเมามาย หลับในสวนดอกไม้ จึงให้ข้ารับใช้พยุงท่านกลับมาที่ห้อง”

ศีรษะข้าปวดร้าว ฝืนเปิดเปลือกตาบวมเป่งขึ้นมาพูดว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาพูดว่า “ใกล้เที่ยงแล้วขอรับ”

ข้าเลิกผ้าห่ม หัวหน้าพ่อบ้านเฉาก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าอวิ๋นมา ตอนนี้อยู่ที่โถงหน้าขอรับ”

ข้ารู้แก่ใจว่าอวิ๋นอวี้มาครั้งนี้คงเพื่อเตือนให้ข้าอย่าได้ลืมนัดที่หอเยวี่ยหวา บางทีอาจพูดถึงเรื่องหลิ่วถงอี่อีกหลายประโยค

ข้าลงจากเตียง พูดกับหัวหน้าพ่อบ้านเฉา “สั่งการห้องเครื่อง จัดเตรียมอาหารเช่นเคย ใต้เท้าอวิ๋นอาจจะรั้งอยู่กินข้าวด้วย”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาโค้งกาย “ให้ห้องเครื่องจัดเตรียมไว้แล้วขอรับ”

 

เมื่อถึงโถงหน้าก็เห็นอวิ๋นอวี้นั่งจิบชา ผ่อนคลายยิ่ง

ข้ายิ้ม “ใต้เท้าอวิ๋น”

อวิ๋นอวี้ลุกขึ้น ยิ้มเช่นกัน “ท่านอ๋อง”

ข้านั่งลงที่เก้าอี้ “วันนี้ลุกขึ้นก็สายแล้ว ไม่รู้ว่าใต้เท้าอวิ๋นจะมา”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไม่เป็นไร อย่างไรก็ไม่ได้รอนานนัก เพียงเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋อง” เขามองไปด้านข้าง “ห้องโถงของท่านอ๋องปรับเปลี่ยนบ่อยใช่หรือไม่ วันนี้มองแล้วแตกต่างไปจากเมื่อก่อน”

ข้าพูดว่า “เอ่อ” แม้ที่นี่จะเป็นห้องโถงวังข้า แต่สองวันนี้เกิดเรื่องมากมาย ข้าจึงไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง มองไปมองมาก็ยังคงเป็นเหมือนเก่า “บางทีข้ารับใช้คงสลับที่ของประดับเวลาทำความสะอาด ข้าก็ไม่ได้สังเกต”

อวิ๋นอวี้หรี่ตา “ของประดับในห้องเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไต้อ๋องมาขอสิ่งของจากท่านอ๋องอีกแล้วหรือ”

เมื่อถูกสะกิดเตือน ข้าก็คิดขึ้นได้ว่า “สองวันนี้ไต้อ๋องไม่มีเวลาหรอก เมื่อวานนำเมล็ดท้อแกะสลักทูลถวายฝ่าบาทไปแล้ว”

โชคดีที่เมื่อวานเย็นข้ากลับมายังไม่ลืมเรื่องนี้ รีบใช้คนห่อเมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนชุดนั้นส่งเข้าวังหลวงไปแล้วจึงกลับตำหนักดื่มสุรา

อวิ๋นอวี้พูดว่า “อ้อ”

เมื่อคิดต่อข้าก็พลันคิดขึ้นได้อีกเรื่อง เมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนชุดนี้คล้ายจะเป็นอวิ๋นอวี้มอบให้ข้า บอกว่าเป็นของฝากที่คนของบิดาเขาได้มาจากเจียงหนาน

ข้ารีบกล่าวขอโทษ “ไม่ได้บอกกล่าวใต้เท้าอวิ๋นก่อนก็ทูลถวายให้ฝ่าบาทแล้ว เป็นข้าละเลยไป ขอใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้ถือสา”

อวิ๋นอวี้ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติอันใด แล้วพูดยิ้มๆ “ไหนจะกล้าๆ เดิมทีก็เป็นของท้องตลาดด้อยราคา ได้รับเมตตาจากท่านอ๋อง วางประดับไว้ที่โถงหน้าอยู่นาน ทั้งเป็นของกำนัลทูลถวายฝ่าบาท ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง เพียงแต่…หากสามารถทำให้ฝ่าบาททรงเกษมสำราญ ข้าน้อยคงต้องขอทวงบุญคุณจากท่านอ๋องสักครั้ง”

ข้าพยักหน้า “แน่นอนๆ นี่เป็นบุญคุณชิ้นใหญ่”

เพราะว่าที่นี่คือโถงหน้า รอบด้านอาจมีหูตาของผู้อื่นแอบฟังอยู่ อวิ๋นอวี้เพียงแค่วางท่าทีเหมือนเขามาพบปะเท่านั้น พร้อมพูดคุยเกี่ยวกับหัตถกรรมของเจียงหนาน ก่อนเล่าถึงทัศนียภาพผู้คนอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหัวหน้าพ่อบ้านเฉามาบอกว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว

อวิ๋นอวี้ลุกขึ้นยืน “อ่า เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนเวลาท่านอ๋องแล้ว ขอตัวกลับก่อน”

ข้าพูดยิ้มๆ “ไยวันนี้ใต้เท้าอวิ๋นถึงเกรงใจกันเช่นนี้ ทำเหมือนเมื่อก่อนข้าแอบไปกินคนเดียวในห้องไม่เคยเชื้อเชิญท่านอย่างนั้น หรือจะให้ข้าเขียนเทียบเชิญท่านเสียตอนนี้เลย”

ข้าผายมือเชื้อเชิญ อวิ๋นอวี้ก็เดินไปห้องอาหารพร้อมกับข้า รอจนอาหารวางบนโต๊ะแล้วก็นั่งลงประจำที่ จานชามวางอยู่ตรงหน้าแล้ว สุราถูกรินจนเต็มจอกแล้วถึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เมื่อคืนวานที่วังไต้อ๋อง ข้าน้อยพูดล้อเล่นกับท่านอ๋องต่อหน้าเสนาบดีหลิ่ว เกรงว่าท่านอ๋องจะโกรธเคือง กลางวันนี้คงไม่มีข้าวกินแล้ว”

ข้าจับตะเกียบขึ้นมาพร้อมพูดว่า “ข้าใจกว้างเสมอ ไม่เคยคิดแค้น อีกอย่าง ถึงแม้จะคิดแค้นก็ไม่กล้าไม่รั้งตัวใต้เท้าอวิ๋นอยู่กินข้าวหรอก”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “เป็นข้าน้อยใช้จิตใจคับแคบคาดคะเนคนใจกว้างแล้ว” แล้วพูดด้วยเสียงที่ค่อยลง “สองวันหลังจากนี้ที่หอเยวี่ยหวา ข้าน้อยมีของขวัญชิ้นใหญ่จะมอบให้ท่านอ๋อง ถือว่าเป็นของขอขมา”

แล้วก็ไม่พ้นเรื่องหอเยวี่ยหวา

ข้าพูดว่า “ได้ ข้าจะรอ”

ผ่านไปหลายจอกสุรา อวิ๋นอวี้ก็เริ่มหัวข้อสนทนา เขาพูดกับข้าว่า “ท่านอ๋องลองทายดู ที่ข้าน้อยพูดล้อเล่นเมื่อคืนวาน เสนาบดีหลิ่วฟังออกถึงความหมายแท้จริงหรือไม่”

ข้าครุ่นคิดอยู่ในใจ คำพูดเมื่อวานของอวิ๋นอวี้ ข้าเดาว่าหลิ่วถงอี่น่าจะฟังออก ตอนนั้นยังพูดต่อประโยคหนึ่ง ข้าอยากจะเดาเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้า

หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่ ในเมื่อเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลิ่วถงอี่

อวิ๋นอวี้จิบสุราคำหนึ่งแล้วพูดว่า “หลิ่วถงอี่ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นเสนาบดีหลิ่ว แน่นอนว่าคงฟังออกถึงความหมายที่แท้จริง” เขาเลิกคิ้ว “ประโยคนั้นกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง ท่านอ๋องรู้สึกยินดียิ่งใช่หรือไม่”

ข้าแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ หัวเราะกลบเกลื่อนไป แล้วเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com