เซียงเสวี่ยยิ้มแล้วว่า “เจาย่วนกล่าวชมจิ้นอ๋องต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท รับผ้าดิ้นเขาแค่ไม่กี่พับจะนับเป็นอะไรได้”
“โง่เขลา” หวังเจาย่วนหัวเราะเบาๆ เอานิ้วจิ้มหน้าผากเซียงเสวี่ยทีหนึ่ง “ที่ข้าให้ความสำคัญคือของเล็กน้อยพวกนี้หรือไรกัน”
นางวางแผ่นทาแป้งซึ่งทำจากใยฝ้ายลง มองคันฉ่องอีกครั้ง ปีนี้นางอายุยี่สิบเก้า แม้ใบหน้าในคันฉ่องจะยังงามเพริศพริ้ง แต่นางก็กระจ่างแก่ใจดี นางยังสวยงามได้อีกไม่กี่ปี ฝ่าบาททรงมีพระชนมายุมากขึ้นทุกที ถ้าไม่เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ หากวันใดฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ลง สนมที่ไร้โอรสธิดาเช่นนางก็ต้องตกอยู่ในสภาพไร้ที่พึ่งพา รัชทายาทแม้เนื้อแท้จะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายมาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังมีความรักใคร่โปรดปรานจากฮองเฮา ไม่แน่ว่าจะคำนึงถึงและใส่ใจสนมนางในของพระบิดา แต่จิ้นอ๋องกลับไม่เหมือนกัน ถ้านางมีส่วนให้ความช่วยเหลือจิ้นอ๋อง เขาย่อมตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน นางก็จะมีที่ให้พึ่งพาอาศัย
เซียงเสวี่ยไม่รู้ถึงความคิดที่ลึกล้ำของหวังเจาย่วน นางอยู่เป็นเพื่อนหวังเจาย่วนจนเขียนจดหมายเสร็จ ปรนนิบัติหวังเจาย่วนเข้านอน แล้วจึงดับตะเกียงในห้องลงทีละดวง ตอนเดินออกไปนางได้ยินหวังเจาย่วนพูดกับตนเองแว่วๆ อยู่หลังม่านมุ้ง “ก็เพียงเพื่อแก่แล้วจะได้มีที่พึ่งพา…”
เซียงเสวี่ยงงงัน เจาย่วนอายุสิบห้าเข้าวัง เวลานี้อายุยังไม่ถึงสามสิบ กลับวางแผนการใช้ชีวิตตอนแก่แล้วหรือ นางทอดถอนใจเบาๆ หลังจากปล่อยม่านลงแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ
พอขบวนเสด็จกลับมาถึงเมืองหลวง รัชทายาทก็ถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างรุนแรง และถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเซ่าหยางอีกครั้ง
การปิดประตูทบทวนความผิดของรัชทายาทในครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามไปเยี่ยมที่วังตะวันออก ฮองเฮาคิดจะสืบข่าวถึงสภาพของรัชทายาทที่ตำหนักเซ่าหยางก็ทำไม่ได้ แม้รัชทายาทจะถูกฮ่องเต้ลงโทษอยู่เสมอ แต่การลงโทษเฉียบขาดเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกในชีวิต
กระทั่งยามฮองเฮาพยายามจะทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ ก็กลับได้รับคำตอบกลับมาเช่นนี้ “ถ้าไม่ใช่เพราะปกติรักและตามใจมากเกินไป รัชทายาทคงไม่เป็นเช่นนี้ เขาควรได้รับบทเรียนบ้างแล้ว”
เสื้อผ้าอาหารการกินของรัชทายาทแต่ไรมาฮองเฮาทรงดูแลด้วยองค์เอง ถูกกักบริเวณครั้งนี้ไม่รู้ผู้ปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักเซ่าหยางดูแลละเอียดถี่ถ้วนดีหรือไม่ ฮองเฮาร้อนพระทัยจนชีวิตไม่สงบสุข ฉีซู่ทั้งเป็นห่วงหลี่เฉิงเพ่ย ทั้งสงสารฮองเฮาในหัวอกของคนเป็นแม่ เพียงแต่แม้แต่ฮองเฮายังไม่อาจเปลี่ยนพระทัยฮ่องเต้ได้ นางเป็นผู้น้อยคำพูดไม่มีน้ำหนัก ยิ่งไม่กล้าช่วยพูดแทนรัชทายาท หร่านเซียงที่อยู่ข้างพระวรกายฮองเฮาช่วยออกความคิดให้นาง บอกว่าหวังเจาย่วนได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ วังกลางไม่สะดวกจะทูลขอความเมตตา หากหวังเจาย่วนยอมช่วยพูดแก้ต่างให้สักสองสามคำ บางทีอาจจะช่วยแก้สถานการณ์ให้รัชทายาทได้
ฉีซู่ใคร่ครวญดูอย่างละเอียด รู้สึกว่าพอจะนับได้ว่าเป็นหนทางหนึ่ง ฮองเฮาติดขัดด้วยฐานะ ไม่สะดวกจะขอให้หวังเจาย่วนออกหน้าให้ แต่ตัวนางกลับไม่มีปัญหานี้ ฉีซู่จึงหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนหวังเจาย่วน
หลังจากเสด็จนิวัตเมืองหลวง ฮ่องเต้ทรงกลัดกลุ้มด้วยเรื่องของรัชทายาท ราชกิจก็ยุ่ง จึงคร้านจะใส่พระทัยตำหนักฝ่ายใน หลายวันมานี้หวังเจาย่วนจึงมีเวลาว่างขึ้นมาก แม้ระหว่างรัชทายาทกับจิ้นอ๋อง นางจะมีความโน้มเอียงไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากแสดงท่าทีสนิทสนมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป เวลานี้ยิ่งต้องรักษาความเป็นกลางเอาไว้ กระทั่งจิ้นอ๋องกราบทูลให้ฮ่องเต้เสด็จไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ภูเขาไท่ซาน นางก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นางเข้าใจอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ทรงปรีชาสามารถเหนือใคร หากแสดงออกอย่างกระตือรือร้นเกินไปกลับจะทำให้ทรงสงสัย ไม่สู้เอาตัวออกห่างจากเรื่องราว ถึงช่วงเวลาสำคัญค่อยคอยพัดกระพือจะดีกว่า