ไท่ซั่งหวงแม้จะแต่งตั้งฝ่าบาทเป็นรัชทายาท แต่เพราะรัชทายาทมีโลหิตของชาวตี๋เหนืออยู่ในตัว จนแล้วจนรอดไท่ซั่งหวงก็ยังทรงพะวงอยู่ในใจ อีกทั้งตอนไท่ซั่งหวงยังครองราชย์อยู่คิดจะปราบปรามภัยพิบัติจากชนเผ่าตี๋ แต่ทรงกังวลอยู่เสมอว่ารัชทายาทเป็นโอรสของสตรีชาวตี๋ วันหน้าอาจจะขัดขวางได้ จึงเริ่มมีความคิดจะเปลี่ยนรัชทายาท ในบรรดาพระโอรสที่เกิดจากพระสนม ไท่ซั่งหวงทรงโปรดปรานพระโอรสองค์ที่สามสู่อ๋องและพระโอรสองค์ที่หกอู๋อ๋อง สู่อ๋ององอาจห้าวหาญเฉกเช่นไท่ซั่งหวง อู๋อ๋องปราดเปรื่องเรื่องอักษรศาสตร์ และไท่ซั่งหวงก็ให้ความสำคัญอย่างมาก ทว่ารัชทายาทก็ไม่เคยทำอะไรผิด หากถอดถอนโดยไร้สาเหตุอันควรก็ยากจะทำให้ผู้คนยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้จึงหน่วงเหนี่ยวล่าช้ามาจนหลังรัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบห้า ไท่ซั่งหวงจึงแสดงท่าทีชัดเจนว่าทรงมีพระประสงค์จะถอดถอนรัชทายาท
ไท่ซั่งหวงกรีธาทัพออกรบติดต่อกันหลายปี อาณาประชาราษฎร์ต่างคับแค้นใจ รัชทายาทยื่นหนังสือกราบทูลหลายครั้ง ขอให้ไท่ซั่งหวงหยุดการทำศึก รัชทายาทเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ไรมาก็ไม่ได้รับความชื่นชอบจากไท่ซั่งหวง การยื่นหนังสือกราบทูลครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยิ่งทำให้ไม่ได้รับการโปรดปรานจากไท่ซั่งหวง รัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบสาม หวงไท่ซุนพลีชีพในการทำศึกที่หรงตะวันตก ยิ่งทำให้ไท่ซั่งหวงสองพ่อลูกมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น ในที่สุดรัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบแปดรัชทายาทก็นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจ บีบบังคับให้ไท่ซั่งหวงสละราชบัลลังก์
ไท่ซั่งหวงเห็นเมืองหลวงถูกรัชทายาทควบคุมไว้แล้ว ก็รู้ว่าสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปแล้ว จำต้องสละราชบัลลังก์ย้ายไปพำนักที่วังตะวันตก ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็มีคนแอบกราบทูลว่าอู๋อ๋องและสู่อ๋องทั้งสองไม่จงรักภักดี มีแผนจะก่อกบฏ จึงมีรับสั่งให้คุมขังอ๋องทั้งสอง และให้ท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้ควบคุมการไต่สวนคดีนี้ พ่อของเจ้าแต่ไรมาก็เป็นคนหัวแข็งซื่อตรง ตรวจสำนวนและตัดสินคดีหลายครั้งก็ยังคงยืนยันว่าอ๋องทั้งสองไม่มีเหตุส่อให้เห็นว่าจะก่อกบฏ ฝ่าบาทกริ้วพ่อของเจ้ามาก ประจวบเหมาะกับเวลานั้นมีคนในราชสำนักแอบกราบทูลว่าพ่อของเจ้าสมคบคิดกับพวกกบฏ ด้วยความพิโรธ ฝ่าบาทจึงลดตำแหน่งพ่อของเจ้าแล้วให้ไปเป็นขุนนางที่เจิ้นโจว…”
“สู่อ๋องกับอู๋อ๋องภายหลังเป็นอย่างไร” ฉีซู่ถาม
ซูอิ่นไม่ได้ตอบทันที หากแต่ยื่นหลังมือไปอังๆ ทดสอบแรงไฟที่เตาเครื่องหอมข้างตัว แล้วหยิบเหล็กเขี่ยจากในกระบอกเครื่องหอมมา เปิดฝาเตาเขี่ยเถ้าถ่านในเตาไปมาสองสามครั้ง หลังจากปิดฝาเตาแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงราบเรียบ “อ๋องทั้งสองรวมทั้งบุตรชายหลานชายถูกประหารทั้งบ้านในรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สอง ภรรยาและบุตรสาวถูกลงโทษให้เข้ามาเป็นคนรับใช้ในวัง”
ฉีซู่ตัวสั่นสะท้านทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว
ในวังหลวงต่างยกย่องว่าฝ่าบาทมีจิตใจเมตตามีความกตัญญู ไท่ซั่งหวงประชวรจะต้องปรนนิบัติให้ดื่มยาด้วยองค์เอง ปีที่แล้วรบชนะชนเผ่าตี๋เหนือ ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงฉลองให้เหล่าขุนนาง ไท่ซั่งหวงทรงร่ายรำเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองด้วยองค์เอง ล้วนได้รับการพูดถึงอยู่ในวังหลวงว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่ที่แท้ภายใต้ภาพลักษณ์ของบิดาที่มีเมตตาบุตรชายที่มีความกตัญญูมีความเป็นจริงที่อาบนองไปด้วยโลหิตซ่อนแฝงอยู่ ไม่รู้ว่าพ่อลูกคู่นี้ยามประจันหน้ากันในใจจะมีความรู้สึกเช่นไร
“ฉีซู่” เสียงร้องเรียกของซูอิ่นทำให้ฉีซู่ตื่นจากภวังค์ “คนเฉียบแหลมเช่นท่านพ่อของเจ้า เมื่อมาอยู่ภายใต้การแย่งชิงอำนาจของราชวงศ์ยังไม่อาจถอนตัวออกมาได้โดยปลอดภัย ข้ากับท่านพ่อของเจ้ามีเจ้าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ให้เจ้าเข้าวังก็ด้วยความจำใจ ทุกวันนี้ข้าไม่ปรารถนาความร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง เพียงหวังให้เจ้าอยู่เย็นเป็นสุขไปชั่วชีวิต รับปากกับแม่ เจ้าจะต้องอยู่ให้ห่างจากความขัดแย้งวิวาท ไม่อาจเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย คนที่ไม่อาจตอแยด้วย เจ้าห้ามไปตอแยเด็ดขาด”