ซุนเหนียงจื่อที่นางพูดถึงคือภรรยาของจางฉี่ไท่ ผู้ตรวจการเมืองหย่งโจว ฮ่องเต้แม้จะไม่พอพระทัยที่หลี่เฉิงเพ่ยก้าวก่ายการตรวจสอบขุนนาง แต่ก็หาได้เปลี่ยนแปลงผลในการตรวจสอบครั้งนั้น หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเส้นทางในการเป็นขุนนางของจางฉี่ไท่ก็ราบรื่นมาก ปลายรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบห้าก็โยกย้ายมาเป็นผู้ตรวจการเมืองหย่งโจว
เรื่องนี้ผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยามาถึงเมืองหย่งโจวแล้วถึงรู้ หลี่เฉิงเพ่ยมีบุญคุณต่อจางฉี่ไท่ ฮ่องเต้ส่งพระโอรสมาอยู่ที่หย่งโจวนี่ เห็นชัดว่าทรงมีเจตนาจะปกป้องพระโอรส ฉีซู่แอบสำนึกในพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้อยู่ในใจ กลับเป็นหลี่เฉิงเพ่ยที่ลืมจางฉี่ไท่ผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งภรรยาเตือนแล้วเตือนอีก จึงนึกถึงเรื่องเก่าในครั้งนั้นขึ้นมาได้
หลี่เฉิงเพ่ยได้ยินฉีซู่พูดเช่นนี้ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจราษฎรมาก คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “ในบ้านเรายังมีน้ำแข็งเก็บอยู่อีกเท่าไร”
“ปีที่แล้วขยายอุโมงค์เก็บน้ำแข็งให้กว้างขึ้น หน้าหนาวปีนี้เก็บน้ำแข็งไว้ค่อนข้างมาก ยังมีอีกกว่าครึ่งที่ไม่ได้ใช้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เอาน้ำแข็งที่มีเหลือเฟือออกมาแจกจ่ายให้ราษฎรเถิด” หลี่เฉิงเพ่ยกล่าว “ในบ้านถ้ายังมีเงินเหลือ ก็เอาไปซื้อยาดับพิษไข้ไปแจกด้วยเลย”
ฉีซู่คำนวณดูค่าใช้จ่ายในบ้าน แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของสามี สองสามีภรรยากำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ คนรับใช้ในบ้านก็นำเทียบเยี่ยมคำนับของผู้ตรวจการจางฉี่ไท่มามอบให้
ฉีซู่รีบสั่งคนให้ไปเชิญจางฉี่ไท่เข้ามาในจวน แล้วช่วยจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้หลี่เฉิงเพ่ยใหม่ จากนั้นจึงออกไปรับรองแขกพร้อมกับเขา
จางฉี่ไท่รู้จวนของผิงเอินอ๋องไม่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองที่ทำเพื่อเอาหน้า เห็นพระชายาออกมาพร้อมกับผิงเอินอ๋องก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เดินเข้าไปสองสามก้าวทำความเคารพผิงเอินอ๋องสองสามีภรรยา
จางฉี่ไท่อายุสี่สิบกว่า ร่างกายสมบูรณ์เล็กน้อย แต่หน้าตายังนับว่าดูดี เขาเป็นขุนนางมือสะอาดตรงไปตรงมา เป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงดีในเมืองหย่งโจว หลี่เฉิงเพ่ยเคยเป็นรัชทายาท ฐานะค่อนข้างละเอียดอ่อน จางฉี่ไท่กลับไม่กลัวที่จะไปมาหาสู่ด้วย ฉีซู่มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอย่างมาก แขกและเจ้าบ้านเข้านั่งประจำที่ หลังจากทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว จางฉี่ไท่ก็พูดเข้าเรื่อง “ระยะนี้ในเมืองหลวงโจษจันกันว่าฝ่าบาทประชวร”
ฉีซู่กับหลี่เฉิงเพ่ยหันมามองสบตากัน หลี่เฉิงเพ่ยกล่าวขึ้น “เป็นอะไรมากหรือไม่”
จางฉี่ไท่สั่นศีรษะ “ยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ทว่าตั้งแต่ปีก่อนเป็นต้นมา ฝ่าบาทต้องทรมานด้วยโรคลมอยู่เสมอ ได้ยินว่าหลายเดือนก่อนรัชทายาทยังเคยทูลแนะนำนักพรตผู้ปรุงยาให้ฝ่าบาท”
“นักพรต” หลี่เฉิงเพ่ยขมวดหัวคิ้ว “พระบิดาไม่เคยเชื่อเรื่องนี้”
“ทว่าครั้งนี้ฝ่าบาทกลับเสวยยาที่นักพรตปรุงขึ้นมา”
พ่อลูกจิตใจสื่อถึงกัน หลี่เฉิงเพ่ยตบโต๊ะแล้วว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!”
จางฉี่ไท่กล่าว “ท่านอ๋องโปรดอย่าใจร้อน อ๋องทั้งหลายต้องอยู่ในที่ศักดินาของตน ไม่มีราชโองการไม่อาจจากไปโดยพลการ กระหม่อมคาดการณ์ว่าท่านอ๋องกับฝ่าบาทเป็นพ่อลูกที่ใกล้ชิดกันที่สุด หากพระอาการประชวรหนักจริง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีราชโองการให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวง เมืองหลวงอยู่ห่างไกล การส่งข่าวไม่สะดวก เวลานี้ฝ่าบาทอาจพระอาการดีขึ้นแล้วก็ไม่แน่”
หลี่เฉิงเพ่ยได้ยินแล้วก็ค่อยๆ สงบลง ผงกศีรษะแล้วว่า “มีเหตุผลๆ”
จางฉี่ไท่มาครั้งนี้เพียงต้องการแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ เพื่อให้พวกเขาสองสามีภรรยาได้เตรียมตัวเตรียมใจ เขายังมีงานรัดตัว ไม่สะดวกจะอยู่นาน ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นกล่าวลา ตอนเดินไปส่ง จางฉี่ไท่ฉวยจังหวะที่หลี่เฉิงเพ่ยไม่ทันได้สนใจ กล่าวกับฉีซู่ “พระชายาต้องอย่าให้ท่านอ๋องทูลขอกลับเมืองหลวงกับฝ่าบาท”