หลังเข้ามาในวังหลวง ฉีซู่ก็ตรงดิ่งไปตำหนักไทเฮา
ไทเฮากำลังรอฉีซู่อยู่ที่ห้องพระ นับแต่มีข่าวว่าฉีซู่ตั้งครรภ์ นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาเรียกนางเข้าวัง พอได้รับรายงานก็ให้คนมาพานางเข้าไปข้างในด้วยความดีอกดีใจ คิดไม่ถึงว่าพอฉีซู่เข้ามาก็คุกเข่าหมอบกราบต่อพระพักตร์ไทเฮา “ไทเฮาโปรดช่วยหนิงอ๋องด้วยเพคะ”
พระหัตถ์ที่กำลังนับลูกประคำของไทเฮาหยุดชะงัก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ฉีซู่คลานเข่าเข้าไปหลายก้าว “อาวุธและเสื้อเกราะที่แอบซุกซ่อนไว้ในจวนฉางซานอ๋องถูกค้นออกมาได้ เวลานี้ถูกริบไว้เพคะ”
ลูกประคำเกิดเสียงดังขึ้นมาเบาๆ เห็นชัดถึงความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในพระทัยของไทเฮา นางสงบใจลง แล้วเอ่ยกับฉีซู่ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ นั่งลงค่อยพูดจากัน”
ระหว่างทาง ฉีซู่พอจะจับต้นชนปลายได้แล้ว ดูจากสีหน้าท่าทางของหลี่หยวนเพ่ย เรื่องที่ฉางซานอ๋องซุกซ่อนอาวุธและเสื้อเกราะ เห็นชัดว่าเขารู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้เขาไม่รู้จริงๆ ฮ่องเต้จะถือโอกาสนี้ยัดเยียดความผิดมาให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นางลุกขึ้นนั่งยังตั่งนุ่มที่ไทเฮารับสั่งให้คนยกเข้ามา จากนั้นก็กล่าวอย่างรีบร้อน “ซุกซ่อนอาวุธกับคิดก่อกบฏไม่มีอะไรต่างกัน ฉางซานอ๋องประสบหายนะเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่พ้น ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ในหมู่ราชนิกุลคนที่ไม่พอใจฝ่าบาทก็มีไม่น้อย หากฝ่าบาทคิดจะใช้โอกาสนี้โยงไปถึงราชนิกุลกลุ่มใหญ่ก็ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ หลังจากท่านอ๋องกลับมาเมืองหลวงก็คลุกคลีใกล้ชิดสนิทสนมกับฉางซานอ๋อง เกรงว่า…เกรงว่ายากจะหลุดพ้นความพัวพัน…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ไทเฮาเข้าใจถึงความหนักหนาของเรื่องราวแล้ว จึงยกพระหัตถ์ขึ้นไม่ให้นางพูดต่อไป ไทเฮาขยับลูกประคำจนเกิดเสียงดัง ครู่ใหญ่จึงตรัสด้วยความเจ็บปวดใจ “ช่างเป็นลูกที่เหลวไหลเลอะเลือน”
“เวลานี้นอกจากไทเฮาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถช่วยเขา…” ฉีซู่ลงไปหมอบกราบกับพื้นอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
ไทเฮาพยุงฉีซู่ให้ลุกขึ้น ตรัสปลอบ “เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ ไม่อาจทำเช่นนี้” ทรงให้ฉีซู่เข้าไปพักผ่อนข้างใน จากนั้นก็หันมาตรัสกับหร่านเซียง “เจ้าหาคนไปดูฮ่องเต้ใช่ยังจัดการราชกิจอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ก็ทูลเชิญให้มาที่นี่ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วย”
หร่านเซียงออกไปแล้ว หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยาม นางกำนัลก็มารายงานว่าฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว
ฉีซู่ทำตามความประสงค์ของฮองเฮา ไปหลบอยู่ข้างหลังฉากบังลม ตั้งแต่กลับมาเมืองหลวงแม้นางจะเคยเห็นฮ่องเต้หลายครั้ง แต่ก็ล้วนแต่เป็นการเข้าร่วมพิธีสำคัญต่างๆ ร่วมกับสตรีที่มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย นับเป็นครั้งแรกที่ได้มองประเมินฮ่องเต้ในระยะใกล้เช่นนี้
ไม่ได้พบกันหลายปี หลี่เฉิงฮ่วนไม่เหลือเค้าความเป็นเด็กหนุ่มเยาว์วัยแล้ว เขาในเวลานี้รูปร่างสูงโปร่ง บนใบหน้าหล่อเหลามีความสุขุมคัมภีรภาพเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของผู้เป็นกษัตริย์ หลังทำความเคารพแล้ว สายตาของเขากวาดผ่านมาทางฉากบังลมด้านหลังไทเฮาคล้ายไม่ตั้งใจ เพียงมองผ่านมาคราเดียว กลับทำให้หัวใจของฉีซู่เต้นระรัวขึ้นมาพักใหญ่ นึกสงสัยว่าเขาใช่เห็นตนแล้วหรือไม่
ไทเฮาพูดเข้าประเด็นทันที “เชิญเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะถาม”
ฮ่องเต้ก้มศีรษะน้อยๆ “เชิญพระมารดาชี้แนะ”
ไทเฮาขยับมือบิดฟั่นลูกประคำ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยคำ “ได้ยินว่าฉางซานอ๋องก่อคดีขึ้น ความจริงเรื่องเหล่านี้ข้าไม่ควรเข้ามายุ่งด้วย ทว่าฉางซานอ๋องจะอย่างไรก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แตกต่างจากคนอื่น ข้าอยากรู้ ที่แท้แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไร”