ใต้กำแพงปราสาท หญิงผู้นั้นยังคงออกแรงต้มเสื้อผ้า ข้างกายนางมีถังใส่เสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วรอต้มวางอยู่ ในถังไม้ใบใหญ่อีกใบเป็นน้ำสะอาด
นางใช้ท่อนไม้เกี่ยวเสื้อผ้าขึ้นมาและนำไปล้างในน้ำสะอาด จากนั้นใส่ลงในกะละมังไม้
พอนางเทเสื้อผ้าอีกกองลงในหม้อและกำไม้ท่อนนั้นเพื่อออกแรงคนเสื้อผ้าอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร แต่เขาเดินเข้าไปกำไม้ท่อนนั้น
เคลอึ้งไปและเหลือบตามองเขา ดวงตาฉายความประหลาดใจ นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือ ปล่อยให้เขาเป็นคนควบคุมไม้ท่อนนั้น
เขายืนอยู่ข้างหม้อพลางคนเสื้อผ้าที่เดือดพล่านในหม้อตามอย่างนาง
นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่หันหลังถอยออกไป
เขามองนางเดินไปข้างกองเสื้อผ้าที่ผ่านการซักในน้ำสะอาดแล้ว นางหยิบพวกมันขึ้นมาทีละตัว บิดให้แห้ง สะบัด ก่อนจะนำไปตากบนเชือกป่าน
เดิมทีเชือกไม่ได้อยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่านางขุดมันออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในปราสาท และตัดสินใจเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นลานตากเสื้อผ้า
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าโรคระบาดเกิดจากการถูกวางพิษในเสื้อผ้า” เขามองนางและอดถามไม่ได้
“ไม่ใช่แน่นอน” นางตอบโดยไม่หันกลับมา “การต้มเสื้อผ้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคระบาดมีมานานแล้ว เพียงแต่คนที่นี่ลืมไปแล้วว่าควรทำอย่างไร หากที่นี่ยังมีคนแก่อยู่ก็น่าจะรู้”
แต่คนแก่ตายไปหมดแล้ว
โรคระบาดและความอดอยากต่อเนื่องหลายปีทำให้คนแก่ส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ตายไปหมด
เห็นได้ว่านางตระหนักถึงความจริงข้อนี้
เขาคนเสื้อผ้าต่อไปเงียบๆ ไอร้อนที่ระเหยขึ้นมารมใบหน้าเขา ไม่นานก็ทำให้เขาเหงื่อออกเต็มตัว
“ทำไมเจ้าถึงไม่สั่งข้ารับใช้หญิงมาต้มเสื้อผ้าพวกนี้” เขาอดถามอีกครั้งไม่ได้
“เพราะข้าไม่คิดว่าคนที่นี่จะกล้ากินอาหารที่ข้าเป็นคนทำ”
คำพูดนี้ทำให้มุมปากเขาโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้ เกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ความรู้สึกขบขันที่เกิดขึ้นทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย เขานิ่วหน้าและเก็บรอยยิ้ม เกี่ยวเสื้อผ้าเหล่านั้นขึ้นมาและไม่พยายามชวนนางคุยอีก
เขาช่วยนางซักเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงทั้งหมด ทั้งยังช่วยตาก
บอกตามตรง นางคิดว่าเขาจะเหมือนชนชั้นสูงที่นางเคยพบเจอมา ดีแต่ออกคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือช่วยด้วยตัวเอง
แม้ปราสาทแห่งนี้ดูเหมือนจะเข้าสู่ทางตันแล้ว แต่บางคนแม้ความตายรออยู่ตรงหน้าก็ยังไม่ยอมรับความจริง
จะว่าไปหากเขาเป็นคนแบบนั้น เขาคงไม่ไปลักพาตัวนางมา