ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ในลานด้านในปราสาท หันหลังให้นางพลางแหงนหน้ามองปราสาทของเขา เวลาเดียวกันเด็กหญิงในชุดผ้าเนื้อหยาบสีเทาก้าวออกมาจากในบ้าน เดินเข้าไปหาเขาและดึงขากางเกงเขา
เขาก้มหน้ามองและขมวดคิ้วให้เด็กน้อย
แต่เด็กหญิงกลับไม่กลัวเขาแม้แต่น้อยและยื่นสองมือออกไปหาเขา
เขามองเด็กคนนั้นอยู่เนิ่นนาน
หลังจากนั้นสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือเขาก้มตัวอุ้มเด็กน้อยตัวสกปรกมอมแมมขึ้นมา ท่าทีปราศจากความรุนแรง
น่าโมโหจริง นางไม่ควรหันกลับไปเลย
ผู้ชายคนนี้ปล้นนาง แถมยังลักพาตัวนางมาที่นี่โดยไม่ฟังเหตุผล ความเป็นความตายของคนพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง…
แต่เขาปล่อยนางออกมา
และที่น่าโมโหก็คือนางอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงลักพาตัวนาง
สถานที่แห่งนี้กำลังเกิดโรคระบาด ดังนั้นเขาจึงถามนางว่ารู้วิธีรักษาโรคบ้าๆ นั่นหรือไม่
แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง
หญิงสาวบังคับให้ตัวเองหันหลังและก้าวขึ้นไปบนสะพานหินอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
คนพวกนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย การช่วยเหลือพวกเขาไม่ส่งผลดีต่อนาง ดูผลลัพธ์ของความใจอ่อนเมื่อปีที่แล้วของนางสิ!
เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลงทาง นางใจดีรับตัวเขาไว้และดูแลเขา สุดท้ายเมื่อเขาหายดีก็กลับบ้าน แต่กลับบอกคนอื่นว่านางทำอะไรบ้าง ทั้งที่นางขู่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ปิดปากตัวเองไม่ได้ ทำเอาตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กนั้นต่อไปได้หรือไม่
น่าโมโหจริงๆ!
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหมอนั่นฝ่าม่านหมอกเข้ามาได้อย่างไร แต่เห็นได้ว่าเขาพบวิธีแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้สึกปลอดภัยหากยังอยู่ในกระท่อมหลังนั้น
เด็กคนนั้นเป็นตัวปัญหา เหมือนผู้ชายคนนี้ที่เป็นตัวปัญหา นางไม่อาจช่วยเขาแก้ไขปัญหาโรคระบาดได้ หากนางช่วยเขาจริง คนพวกนั้นจะยิ่งคิดว่านางเป็นแม่มด
นางไม่ใช่!
นางไม่ใช่แม่มดเลือดเย็นไร้ความปรานีพวกนั้น นางรู้ว่านอกป่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปีก่อนเด็กคนนั้นเล่าให้นางฟังบางส่วน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของนาง
นางไม่ได้สร้างฝน ไม่ได้สร้างความอดอยาก ไม่ได้แพร่โรคระบาดไปทั่ว ไม่ได้สาปแช่งผู้คน!
ที่เหตุการณ์กลับกลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของนาง…
แต่แม้จะบอกตัวเองแบบนี้แล้ว นางก็ยังหยุดฝีเท้าที่ปลายสะพานหิน