ปกติธัญพืชที่เก็บเกี่ยวได้ต้องเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปีหน้า แต่ฤดูร้อนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยพายุทำให้พื้นที่เพาะปลูกกว่าครึ่งจมอยู่ใต้น้ำ ส่งผลให้ผลผลิตน้อยจนกินไม่อิ่มท้อง ภาวะอดอยากหนึ่งปีผู้คนยังทนได้ ครั้นสองปีผ่านไปสถานการณ์ก็เริ่มอยู่นอกเหนือการควบคุม พอถึงปีที่สามความหิวโหยเกินขนาดทำให้ผู้คนไม่สนใจเมล็ดพันธุ์สำหรับปีหน้าอีกแล้ว แม้แต่เปลือกไม้กับรากหญ้ายังมีคนกิน นับประสาอะไรกับเมล็ดพันธุ์ ประกอบกับคนแก่ที่มีประสบการณ์เป็นโรคระบาดตายไปทีละคน ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บยาวนานมีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
เขาเดินจากไปและเดินกลับมาใหม่ ขมวดคิ้วเอ่ยเพียงว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
นั่นสิ ราวกับว่านางอิ่มได้โดยไม่ต้องกินอาหารอย่างนั้นแหละ
เห็นเขาเดินจากไปอีกครั้ง เคลกอดตัวเองพลางกระชับเสื้อคลุมกันลมที่สวมอยู่ มองแผ่นหลังของชายหนุ่มพลางค้อนปะหลับปะเหลือก บ่นเสียงค่อยว่า “ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ”
นางคิดว่าเสียงตัวเองเบาพอแล้ว แต่สายลมพัดเสียงนางไปถึงหูเขา
เขาหันมามองนาง นางได้แต่จ้องกลับโดยไม่พูดอะไร
ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วและหันหลังเดินจากไป ไม่นานก็เดินกลับมาอีก หยุดตรงหน้านางและโน้มตัวถามว่า “เจ้าชื่ออะไร”
“เคล” นางกอดตัวเองพลางแหงนหน้ามองชายหนุ่มใต้แสงจันทร์ “ข้าชื่อเคล”
“ไม่มีนามสกุล?” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ
“ข้าไม่ใช่ชนชั้นสูง” มีแต่พวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีนามสกุล ชาวบ้านตัวเล็กๆ อย่างนางมีแค่ชื่อก็ไม่เลวแล้ว
เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ มองนางและถามต่อ
“แอปเปิ้ลของเจ้ามาจากไหน”
“เด็ดมาจากต้น” นางตอบ
“พวกมันดูสดใหม่มาก” อีกทั้งฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป ไม่มีทางที่นางจะหาแอปเปิ้ลที่สดขนาดนี้ได้ในป่า
นางมองเขาเงียบๆ
นางไม่ควรบอกเขา แต่ตลอดเจ็ดวันที่อาศัยอยู่ในปราสาททำให้นางเข้าใจเรื่องหนึ่ง ผู้ชายที่ดูดุร้ายคนนี้รับเด็กละแวกใกล้เคียงทั้งหมดที่ไร้บ้านมาอยู่ด้วย เดิมทีเด็กเหล่านั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในปราสาท โซเฟียเป็นลูกสาวเจ้าของโรงอบขนมปังในหมู่บ้านเกษตรกรรม ที่บ้านของชาร์ล็อตเลี้ยงแกะ แอนโธนี่เป็นลูกชายของช่างเหล็ก พ่อของแอนเดอร์สันเป็นคนฆ่าสัตว์ พ่อแม่ของหลุยส์กับแอนนี่เป็นทาสติดที่ดิน…
ก่อนหน้าที่สถานการณ์จะเลวร้าย เด็กมากมายพวกนั้นล้วนอาศัยอยู่นอกปราสาท จนกระทั่งโรคระบาดและความอดอยากพรากทุกอย่างไปจากพวกเขา
เขาเป็นลอร์ด มีหน้าที่ดูแลชาวบ้านอยู่แล้ว แต่ความจริงแค่เขาปิดประตูปราสาท เสบียงอาหารในปราสาทก็เพียงพอให้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายไปได้อีกนาน
ชนชั้นสูงมากมายล้วนทำเช่นนี้ ปิดประตูปราสาท ลงกลอนยุ้งฉาง จากนั้นดื่มสุราและร้องรำทำเพลงตามปกติ เลือกที่จะไม่สนใจความอดอยากและโรคระบาดภายนอกปราสาท
ดังนั้นแม้จะรู้ดีว่าไม่ควรพูดออกมา แต่สุดท้ายนางก็แหงนหน้ามองเขาและพูดว่า “ข้ามีห้องใต้ดิน ข้าจะเก็บหิมะในฤดูหนาวไว้ในนั้น พอเข้าฤดูร้อน ใต้ดินจะยังคงมีความเย็น หิมะจะทำให้อาหารที่อยู่ในนั้นเก็บได้นานยิ่งขึ้น”