เขามองนาง นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายระยับสว่างขึ้นเล็กน้อย
“แต่ท่านอย่าคาดหวังว่าในนั้นจะมีอาหารมากมาย ข้าไม่ได้คิดว่าจะต้องเลี้ยงคนทั้งปราสาท”
นางเตือนเขา แต่ดวงตาของผู้ชายตรงหน้ายังคงเปล่งประกาย
หลังจากนั้นเขาก็อ้าปากเอ่ยคำพูดที่สร้างความประหลาดใจแก่นางออกมา
“ข้าเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้”
นางอึ้งไป เบิกตากว้างมองเขาด้วยความตกใจ
“ท่านเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้?”
เขาผงกศีรษะ บอกนางว่า “ไม่เยอะ แต่ขอเพียงพวกเราอดทนจนผ่านสองสามเดือนนี้ไปได้ รอให้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว สถานการณ์ก็จะดีขึ้น”
เคลคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะเก็บเมล็ดพันธุ์สำหรับเพาะปลูกไว้ล่วงหน้า แต่ที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่าคือเขาบอกเรื่องนี้กับนาง
ราตรีดำสนิทกว่าเดิม ลมเย็นพัดกรูเกรียว นำพาเมฆดำมาบดบังดวงจันทร์
นางกระชับเสื้อคลุมกันลมให้แน่นขึ้นพลางเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า เด็กน้อยบนบ่าเขาหลับสนิทแล้ว เหมือนรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ชายหนุ่มอุ้มเด็กคนนั้นและใช้มือใหญ่ลูบหลังเบาๆ นางเห็นว่าบนฝ่ามือดำคล้ำของเขามีรอยแผลเป็นตื้นลึกไม่เท่ากันอยู่ ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมีปุ่มแข็งหยาบอยู่ด้วย
มือของผู้ชายคนหนึ่งมักจะบอกเล่าเรื่องราวได้มากมาย
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตัวเองถามว่า “เพราะอะไร”
“อะไรเพราะอะไร” เขาเลิกคิ้วเข้ม
“เพราะอะไรท่านถึงบอกข้าเรื่องเมล็ดพันธุ์”
“เพราะว่าเจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแล” เขาหลุบตามองนางและยื่นมือใหญ่ที่แข็งแกร่งหยาบกร้านออกไป “และตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
ตอนที่นางบอกเรื่องห้องใต้ดินออกไป นางก็ไม่มีหนทางให้ถอยอีก
ดังนั้นนางคิดว่าตัวเองคงจะลงเรือลำเดียวกับเขาแล้วจริงๆ เพียงแต่เรือลำนี้อาจจมลงได้ทุกเมื่อ แต่บอกตามตรง นางมีทางเลือกที่ไหนเล่า
หากนางไม่รู้อะไรเลย บางทีนางอาจใช้ชีวิตอยู่ในป่าคนเดียวโดยไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่นได้ แต่ผู้ชายคนนี้ฝ่าม่านหมอกเข้าไปลากตัวนางออกมา ทำให้นางมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดจนนางมิอาจปิดตาของตัวเอง ไม่อาจทำเป็นไม่รับรู้สถานการณ์ของโลกภายนอกได้อีก
นางจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน
เนิ่นนานผ่านไป นางวางมือเล็กบนมือใหญ่ของเขาที่ดูเหมือนแผ่นหนัง
เขาจับมือเล็กเย็นเฉียบของนางและกุมไว้ ก่อนจะดึงนางขึ้นมาจากขั้นบันไดหิน นางถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าแทบจะแนบติดกัน