“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือ”
เขาปรายตามองนางก่อนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าคิดว่าข้ามีหรือไง”
เคลมองเขากินโจ๊กข้าวโอ๊ตชามนั้นจนหมดอย่างพูดไม่ออก ครุ่นคิดหาความเป็นไปได้ต่างๆ ในการหลบหนี
เขาบอกว่าจะไม่แตะต้องนาง แต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาแค่พูดไปอย่างนั้นเองหรือไม่
ตอนเขายืนขึ้น นางอดถอยไปหนึ่งก้าวไม่ได้และรีบเอ่ยว่า “หากข้าต้องนอนที่นี่ ข้าต้องกลับไปเอาของบางอย่าง ทั้งยังต้องสั่งงานพวกลิซ่า”
เขาหรี่ตามองนาง
“อย่าทำเรื่องโง่ๆ เจ้ารู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นหรอก ละแวกนี้มีคนยินดีรับตัวแม่มดไว้ไม่มาก หากเจ้าหนีไปรังแต่จะทำให้คนมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเจ้าร้อนตัว หากมีคนตายเพราะอย่างนี้ นั่นย่อมกลายเป็นความผิดเจ้า เป็นเพราะคำสาปชั่วร้ายของเจ้า”
ให้ตายเถอะ! เขาพูดถูก!
นางเกลียดเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่าเขาพูดถูก แต่นางไม่มีทางวิ่งชนะเขา ไม่มีทางต่อสู้ชนะเขา อีกทั้งต่อให้นางวิ่งออกไปจากห้องนี้ได้ นางก็หนีออกจากปราสาทแห่งนี้ไม่ได้ ต่อให้นางหนีออกไปได้ ข่าวลือก็จะนำมาซึ่งการล่าแม่มด
ก่อนหน้านี้นางอาศัยม่านหมอกในป่าและคิดว่ามันช่วยปกป้องนางได้ แต่ถ้าเขาบุกเข้ามาได้ นั่นหมายความว่าคนอื่นก็ทำได้เช่นกัน
“ข้าไม่ใช่แม่มด” นางพูดอย่างขุ่นขึ้ง
“ข้าเชื่อ” เขาเลิกคิ้วพลางกอดอก ใช้คางพยักพเยิดไปนอกหน้าต่าง “แต่คนที่เจ้าต้องโน้มน้าวไม่ใช่ข้า เป็นคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น”
น่าโมโห! น่าโมโห! น่าโมโหจริงๆ!
นางอยากย่ำเท้าเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ได้แต่หมุนตัวเดินออกไปอย่างเดือดดาลและออกแรงกระแทกปิดประตู
เขาไม่ได้หยุดยั้งนาง เขารู้ว่านางต้องกลับมาแต่โดยดี
ตอนเคลกลับมา ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะ อาศัยแสงเทียนจับปากกาขนห่านเขียนอะไรบางอย่างในหนังสือ
เขาสวมเสื้อขนแกะตัวยาวแล้ว เส้นผมสีดำสนิทเปียกชื้นระอยู่บนบ่า
ตอนนางเข้ามาเขาเงยหน้ามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้ว
“นั่นคืออะไร” เขาถาม
“อะไรคืออะไร”
“ของที่อยู่ในมือเจ้า”
“ฟูกนอนของข้า” นางเชิดคางพลางหอบฟูกของตัวเองเดินไปยังผนังที่อยู่ไกลจากเตียงใหญ่ของเขามากที่สุด จากนั้นก็ปูมันลงบนพื้นติดหน้าต่าง
“หากเจ้านอนอยู่บนพื้นย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า”