กองทัพนครหลวง
เยี่ยเจายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง กล่าววิงวอนด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
“พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี บัดนี้ข้าประสบภาวะคับขัน ขอให้พี่น้องทุกคนช่วยข้าอีกแรงด้วย”
“ขอรับ!”
บรรดาที่ปรึกษาทัพขานรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็นั่งแยกกันเป็นสองแถว ถือพู่กันขนเพียงพอนอยู่ในมือ มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางตรงหน้า บนนั้นจั่วหัวว่า ‘หลักการอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้’ ‘หัวข้อสนทนาของเหล่าสตรี’ ‘กลเม็ดกตัญญูแม่สามี’ เป็นต้น แต่ละคนมีสีหน้าราวกับกำลังกลืนยาขมยิ่งขึ้น
บรรดาตระกูลทหารของแคว้นต้าฉินมักผูกดองกันเอง มารดาและย่าของเยี่ยเจาก็เป็นพยัคฆ์สายเลือดนักรบที่แกร่งกร้าว ส่วนย่าทวดของนางที่ล่วงลับไปแล้วยังเป็นถึงจอมยุทธ์หญิงที่มุทะลุดุดันยิ่งกว่า ทุกคนล้วนเป็นสตรีที่เปิดเผยตรงไปตรงมา แม้ในกาลก่อนแม่สามีกับสะใภ้จะเข้ากันได้ไม่เลว ทว่ายังคงเกิดศึกนางเสือปะทะนางสิงห์ชิงความเป็นใหญ่อยู่เนืองๆ แล้วยามที่ศึกปะทุขึ้น กระทั่งผู้เฒ่าเยี่ยยังต้องถอยหลบเป็นบางครั้งอย่างช่วยมิได้ ฝ่ายหวงซื่อดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ร่ายรำกระบวนท่าเพลงดาบใบหลิวได้สวยงาม บุรุษทั่วไปสามสี่คนไม่อาจเข้าประชิดตัวได้
วรชายาอันไท่เฟยเป็นกุลสตรีเมืองหลวง ยึดถือธรรมเนียม และมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ย่อมต้องชมชอบวิธีอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้แบบธรรมดา การที่เยี่ยเจาจะทำตัวให้เป็นที่พึงใจของแม่สามีได้อย่างไรนั้นจึงสร้างความลำบากใจให้นางนับพันนับหมื่นประการเลยทีเดียว ถึงนางจะมีความตั้งใจจริงก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด
ทว่านางเป็นคนรักษาสัจจะ เรื่องที่ตกปากรับคำไว้จะต้องทำให้ถึงที่สุด
เยี่ยเจาชั่งน้ำหนักแล้วว่าถ้าไปหารือเรื่องนี้กับหวงซื่อ มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจ นางจึงเรียกที่ปรึกษาทัพทั้งหมดที่อยู่โม่เป่ยในครั้งนั้นมารวมตัวกัน เปิดประชุมแผนการรบ จากนั้นก็มอบหมายหน้าที่ ออกคำสั่งบังคับให้ทุกคนกลับบ้านไปถามภรรยาและมารดาตัวเอง ศึกษาจากประสบการณ์ และกลับมารายงานโดยละเอียด
ที่ปรึกษาหม่าไม่เต็มอกเต็มใจนัก เอ่ยปากขึ้นเสียงอ่อยๆ
“นี่มิใช่เรื่องที่บุรุษจะกระทำเลย ไฉนข้า@@@”
นางทำหน้าปั้นปึ่งถลึงตาใส่เขาทันที
“จักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงยึดถือหลักกตัญญูปกครองแผ่นดิน! แม้แต่กตัญญูมารดาตนเจ้าก็ยังทำไม่ได้รึ! บัดซบสิ้นดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือการสร้างครอบครัว ปกครองแผ่นดิน เพื่อความผาสุกของปวงประชา แม้แต่ครอบครัวเจ้าก็ไม่สนใจไยดี นับประสาอะไรกับการเป็นทหารในกองทัพไปพิชิตใต้หล้า! แม่ทัพอย่างข้าให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง! หักเบี้ยเลี้ยงเจ้าสามเดือน กลับไปสำนึกผิดให้ดี! รู้จักกตัญญูมารดาเมื่อไรแล้วค่อยกลับมาพบข้า!”
เหล่าที่ปรึกษาทัพตกใจไม่น้อย พากันกุลีกุจอจรดพู่กันเขียนแต่โดยดี รีดเค้นความคิดจากสมองกันอย่างหนัก
เยี่ยเจานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ไท่ซือ จับตาดูทุกคนทำงานชั่วครู่ ดื่มชาคำหนึ่งแล้วเอ่ยถามชิวสุ่ย
“เจ้าจิ้งจอกล่ะ?”
ชิวหวารีบเดินเข้ามาบอก
“ท่านกุนซือฝากความไว้ว่าเขาไม่มีทั้งมารดาและภรรยา ไม่อาจช่วยอะไรได้จริงๆ แต่เขามองดูท่าทางกลัดกลุ้มเหลือหลายของท่านแล้วรู้สึกทุกข์ใจ เลยไปที่วัดมหาธรรมซึ่งอยู่ละแวกนี้เพื่อไหว้พระ ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงเล็กๆ น้อยๆ ขอพรให้ท่านประสบความสำเร็จ สมปรารถนาในทุกสิ่ง”
“หน็อย! ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงอะไรกัน” เยี่ยเจาเกือบสำลักน้ำชา นางตบโต๊ะแล้วตวาดขึ้น “คราวก่อนเจ้าลูกเต่าสารเลวนั่นเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดศาสนาเต๋าอยู่เลย!”
ชิวสุ่ยรีบปรี่เข้าไปกล่อมท่านแม่ทัพให้อารมณ์เย็นลง