overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย
ตวัดเส้นสายบนทางลาดบุปผา สายฝนพร่างพรมในหุบเขาลึกเร้น
หลังจากหรูซิ่วถูกยั่วเย้าจนสั่นกระตุกแล้วปลดปล่อยออกมา ก็หอบหายใจถี่กระชั้นเบาๆ เหงื่ออุ่นไหลโชก นอนนิ่งอย่างผ่อนคลายบนเตียง เขาเอามือที่ถูกมัดปิดหน้า หลับตาพักผ่อน แต่ทันใดนั้นก็มีสิ่งมโหฬารเข้ามาใกล้ กดเบาๆ ลงบนร่าง ผิวเนื้อเปลือยเปล่าแนบชิด ส่วนที่สัมผัสกันราวกับมีดาวตกพาดผ่าน
หรูซิ่วลืมตาขึ้นมาเห็นองค์ชายสามมองเขาอยู่ใกล้ๆ ปลายจมูกแทบจะชนกัน ตัวเขาดูอ่อนเปลี้ย ทว่าดวงตาคนที่ทับอยู่ด้านบนกลับวาววามเจิดจ้า สีหน้าแช่มชื่น อีกฝ่ายเอียงหัวไปข้างๆ แนบริมฝีปากชิดใบหูเขา เสียงทุ้มต่ำพูดว่า ‘อย่าหลับ เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น’
หรูซิ่วตกใจจนหน้าถอดสี ยังไม่ทันได้ตอบคำ ก็พบว่าตนถูกองค์ชายสามจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แล้วพลิกร่างอย่างว่องไว สองมือถูกดึงขึ้นสูง นอนพังพาบคว่ำหน้าอยู่บนเตียง พอด้านหลังไร้สิ่งปิดบัง เขาก็รู้สึกใจไม่สงบ ตะกายจะพลิกตัวกลับ แต่ก็ถูกกดไว้ทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน สิ่งที่แข็งขึงก็กดลงตรงบั้นท้าย ทำเขาตกใจจนตัวสั่น ใบหน้าร้อนผ่าว
‘นายท่าน ซิ่วเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว โปรดคำนึงถึงบาดแผลของซิ่วเอ๋อร์ที่ยังไม่หายดี ทั่วตัวไร้เรี่ยวแรง คืนนี้ปล่อยข้าไปเถอะขอรับ’ เขาทำทีนบนอบ พูดเสียงแผ่วเบา จงใจทำท่าอ่อนแออ้อนวอน
งอแงหรือ องค์ชายสามหัวใจกระตุก เด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์ทำโยเยขึ้นมาอีกแล้ว ช่างน่ารักเสียจริง เขาโน้มตัวไปข้างหน้า อ้าปากขบใบหูคนอยู่เบื้องล่างเบาๆ หรูซิ่วสะท้านไปทั้งร่างราวกับแมวน้อย ชวนให้สงสารยิ่ง ใบหูเด็กหนุ่มแดงก่ำ เอียงหน้านอนคว่ำ สีหน้าเหมือนประหลาดใจและดูเหมือนวิงวอน ท่าทางเช่นนี้กลับยิ่งกระตุ้นให้องค์ชายสามตัดสินใจจู่โจมแล้วครอบครองเสียให้สิ้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว คนที่จะโหมบุกก็โน้มกายลงจูบใบหน้าด้านข้างของคนอยู่เบื้องล่าง เอ่ยคำปลอบประโลมอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ‘ดูท่าคงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เจ้าแค่นอนคว่ำ ไม่ต้องขยับตัว’
หรูซิ่วได้ยินดังนั้นก็ยิ่งกระสับกระส่าย ดิ้นรนเอามือค้ำร่างกายท่อนบนลุกขึ้น แต่องค์ชายสามอาศัยความได้เปรียบด้านร่างกายกดเขาไว้ใต้ร่างจนไม่อาจดิ้นหนี
‘นายท่านตัวหนักนัก ซิ่วเอ๋อร์หายใจไม่ออก’ เขาแสร้งทำเสียงอู้อี้ แกล้งทำเป็นทนไม่ไหว
องค์ชายสามรู้ดีว่าเขาโกหก แต่ก็ผ่อนคลายการควบคุม พลิกร่างเปลี่ยนมานั่งข้างกายเขาอย่างว่องไว พอเห็นเด็กหนุ่มบิดร่างไม่อยู่นิ่ง ก็รีบยื่นมือออกไปกดที่แผ่นหลังเขาไว้
หรูซิ่วพลิกตัวไม่ได้ก็นิ่วหน้า สองขาถีบเตะวุ่นวาย
‘อย่าดิ้น ให้ข้ามองเจ้าให้เต็มตาสักครั้ง’ องค์ชายสามกดขาเขาไว้ ปลอบอย่างอ่อนโยน หรูซิ่วนอนคว่ำอยู่บนเตียง ตั้งแต่แผ่นหลังเรื่อยลงไปถึงเอว บั้นท้าย ท่อนขา ช่างงดงาม ผิวพรรณเรียบลื่น ชวนให้ทอดสายตามองอย่างอ้อยอิ่ง องค์ชายสามคิดแล้วก็เอาผ้าห่มมาทบซ้อน สอดไว้ใต้ท้องของอีกฝ่าย
หรูซิ่วเคลิบเคลิ้มไปกับถ้อยคำอ่อนโยนของเขาจนสงบลง ปล่อยให้อีกฝ่ายมองชื่นชมตามอำเภอใจ นานครู่หนึ่งถึงรู้สึกว่ามีของอ่อนนุ่มสอดไว้ใต้ตัว เมื่อเป็นเช่นนี้บั้นท้ายจึงถูกดันให้โก่งขึ้น ท่าทางน่าอับอายนัก จึงร้องบอกอย่างร้อนรน ‘ให้ข้าลุกสิ! ไส้จะพันกันหมดแล้ว ไม่ไหวแล้ว นายท่านอย่าแกล้งสิขอรับ!’
‘เมื่อครู่ใครบอกว่าข้าเป็นบัณฑิตจอมปลอมที่แสนหยาบโลน…ก็จริงตามนั้น’ เขารู้สึกว่าน่าขันนัก ขณะเดียวกันมือก็ลูบไล้จากสันหลังถึงเอว ลูบไปจนถึงบั้นท้ายแล้วหยุดตรงนั้น
‘…ซิ่วเอ๋อร์พูดเรื่อยเปื่อยไปเองขอรับ นายท่านเป็นคนมีเหตุมีผลเสมอมา ข้าว่า…ข้าว่าผู้ใหญ่คงไม่ถือโทษโกรธเคืองกับความผิดพลาดของผู้น้อย’ เขาลนลานรับสารภาพผิด คืนนี้ถูกจู่โจมที่บั้นท้ายหลายครั้ง เกรงว่าหากองค์ชายสามเกิดสนใจขึ้นมา ตนจะต้องถูกแกล้งหนักขึ้นเป็นแน่ แต่แล้วก็พบว่ามือที่วางไว้บนบั้นท้ายนั้นอ่อนโยนอย่างยิ่ง เพียงแค่ลูบไล้ นวดคลึงไปมาราวกับนวดแป้งเท่านั้น กำลังมือก็เบาลง ราวกับจะคลึงให้เคลิ้ม ดูท่าแล้วคงไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย…อ๊ะ? อ้าว!
หรูซิ่วสูดหายใจเฮือก ชั่วพริบตาใบหน้าก็แดงก่ำ นิ้วมือขององค์ชายสามที่แท้…ที่แท้กำลังสอดเข้าไปข้างใน! ไม่เคยมีใครแตะต้องส่วนนั้นของเขามาก่อน เมื่อถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบา ก็บังเกิดความรู้สึกแปลกแปร่ง หัวใจเต้นระรัวเหมือนตีกลอง รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาดิ้นรนบิดร่าง หันไปร้องอย่างตกใจ ‘อย่าลูบซี้ซั้วสิขอรับ ไม่ได้ ไม่ได้นะ อย่าแตะตรงนั้น!’
องค์ชายสามเอานิ้วสอดเข้าไปในนั้นได้อย่างไร ซ้ำยังลูบสัมผัสถึงส่วนเร้นลับที่อยู่ข้างใน จะทำสิ่งใดกันแน่ ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ไม่เห็นกล่าวถึงเลย!
ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่นิ้วมือขององค์ชายสามสอดเข้าไป ก็มีความทรงจำเลือนรางบางอย่างที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นมาในหัว เขาจำได้ไม่ถนัดนัก และบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อนิ้วมือขยับเล็กน้อยตรงส่วนลึกข้างใน ความกลัวอันน่าประหลาดก็เกิดขึ้นในจิตใจ เขาสูดหายใจหลายเฮือก ร้องบอกอย่างลนลาน ‘นายท่าน ข้า…ข้ากลัว!’
องค์ชายสามเห็นเขาร้องอย่างลนลานก็รีบหยุด ก่อนจะพูดปลอบเบาๆ ‘ทำไมเกิดกลัวขึ้นมาเล่า ซิ่วเอ๋อร์ต้องเชื่อสิว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ’
‘แต่ว่า…’ ภายใต้การปลอบประโลมอันอ่อนโยน ความหวาดกลัวอันไร้ที่มาค่อยๆ สลายไป จิตใจเริ่มสงบลง แต่เขายังไม่เข้าใจ เหตุใดองค์ชายสามถึงต้องแตะส่วนนั้นของเขา
‘สิ่งต่างๆ ที่ข้าทำ ล้วนเป็นสิ่งที่คนรักกระทำให้แก่กัน ครั้งแรกอาจรู้สึกแปลกๆ บ้าง เจ้าไม่เคยผ่านมาก่อนย่อมรู้สึกกลัว แต่เจ้าต้องเชื่อว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ’ เขาใช้หลังมือไล้ปลอบเด็กหนุ่มเบาๆ จากต้นคอไปถึงสันหลัง แล้วใช้ฝ่ามือลูบจากเอวกลับขึ้นไปถึงต้นคออย่างช้าๆ และอ่อนโยน ทำกลับไปกลับมาหลายครั้ง
เมื่อครู่นายท่านบอกว่าคนรักอย่างนั้นหรือ หรูซิ่วได้ยินที่หู ปลาบปลื้มที่ใจ คืนนี้องค์ชายสามปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ เห็นได้ว่าลึกๆ ในใจก็ชื่นชอบเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาหยาบคายใส่ไม่หยุด เหตุใดองค์ชายสามจึงต้องอดทนยอมอ่อนให้ ทั้งยังพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คิดได้เช่นนี้หรูซิ่วก็รู้สึกหวานชื่นในใจมากล้น ชั่วพริบตาราวกับเปลี่ยนเป็นแมวน้อย นอนหมอบอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย ยอมให้มือใหญ่ที่ทั้งแสนอ่อนโยนและหนักแน่นลูบไล้ร่างกายจนผ่อนคลาย ดวงตาหรี่ลง
องค์ชายสามเห็นเข้าก็นึกสนุก ลูบจากต้นคอไปถึงบั้นท้ายและต้นขา
หรูซิ่วไม่มีท่าทางเครียดเกร็งอีกแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น เอี้ยวคอหันไปถามกระเซ้า ‘ก่อนนายท่านจะขี่ม้าก็ลูบไปลูบมาเช่นนี้ ดังนั้นซิ่วเอ๋อร์ก็กลายเป็นลูกม้าของนายท่านแล้วสินะขอรับ’
องค์ชายสามหลุดขำออกมา ‘จะเปรียบแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าลูกม้าดื้อก็ต้องใช้แส้โบยสักทีหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยใจร้ายกับเจ้าเช่นนั้นมาก่อนเลยนะ’
‘ก็ใช่ขอรับ ดูท่าแล้วซิ่วเอ๋อร์น่าจะเป็นที่รักของนายท่านมากกว่าม้าอยู่บ้าง’ เด็กหนุ่มหัวเราะ
องค์ชายสามเห็นเขาหัวเราะได้ก็รู้สึกวางใจ ทันใดนั้นคิดนึกสนุกขึ้นมา จึงหันไปหยิบพู่กันด้ามใหญ่ที่เมื่อครู่นี้นำมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ ปัดลงไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าเบาๆ หรูซิ่วเสียวซ่านจนอดร้องครางออกมาไม่ได้
‘สบายหรือไม่’ องค์ชายสามลากพู่กันเบาๆ จากต้นคอไปถึงก้นกบ
หรูซิ่วพยักหน้า เอามือค้ำร่างแอ่นท่อนบนขึ้นรับสัมผัส เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ด้วยนึกสงสัยใคร่รู้ จึงเอี้ยวตัวไปดูว่าองค์ชายสามทำอะไร ‘นั่นคืออะไรหรือขอรับ’
องค์ชายสามเปิดกระปุกใบน้อยใบหนึ่งออก เอาพู่กันจุ่มลงไปจนชุ่ม ยกขึ้นแล้วยื่นไปแต้มที่จมูกเขานิดหนึ่ง ‘หอมหรือไม่’
กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา หรูซิ่วแตะจมูกตัวเอง พบว่าสัมผัสออกลื่นๆ ดูแล้วคล้ายจะเป็นน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ทั้งยังเหนียวติดมืออยู่บ้าง ขณะที่ยังงุนงงก็รู้สึกถึงสัมผัสฉ่ำชื้นที่ก้นกบ เขาจะหันไปดู ทว่าองค์ชายสามกลับผลักเขากลับลงไปนอน แล้วตีแก้มก้นเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ‘เจ้าจะรู้สึกสบายเหมือนเมื่อครู่ เพียงแค่ปัดลงข้างล่างอีกหน่อย’
พอพูดจบ หรูซิ่วก็รู้สึกได้ว่าองค์ชายสามจับขาสองข้างของเขาแยกออก ปลายพู่กันฉ่ำชื้นค่อยๆ กวาดเข้าไปข้างใน
ระหว่างร่องก้นเหมือนทางเดินแห่งบุปผาในหุบเขา พู่กันปัดเบาๆ ถึงตรงนี้ก็ราวกับใช้พู่กันตวัดผ่านทางเดินแห่งบุปผา ลากไล้ปลายพู่กันลึกลงไป พอมาถึงหุบเขาส่วนลึกสุดกลางทางเดิน องค์ชายสามก็ขยับข้อมือเบาๆ พู่กันลากผ่านทางเดินแห่งบุปผาจากบนลงล่าง ผ่านหุบเขา นำพาน้ำผึ้งกวาดเข้าไป
‘อ๊า!’ หรูซิ่วแหงนหน้าร้องคราง เด็กหนุ่มถูกพู่กันปัดป่ายจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างแรง ในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งๆ แขนขาอ่อนยวบ ทว่าตัวตนด้านล่างกลับชูชัน เขากัดริมฝีปาก เขินอายจนหน้าแดง เดิมทีเขาคิดจะต่อต้าน แต่ความหฤหรรษ์ที่เกิดขึ้นทำให้เลิกความคิดนั้นไปแล้วหลับตาลง นอนคว่ำปล่อยให้ผู้เป็นนายทำตามอำเภอใจ
องค์ชายสามนิ่งมองใบหน้าด้านข้างของเขา ในใจสั่นสะท้าน
สำหรับเขาแล้วคืนนี้เป็นครั้งแรกที่บังเกิดแรงกระตุ้นแปลกใหม่อันใหญ่หลวง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มแสนเจ้าเล่ห์ ก็ยั่วให้เขาทั้งรักทั้งสงสารปนหงุดหงิด จนต้องหาวิธีจัดการมากมายที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งตีก้น มัดข้อมือ ดื่มสุราโลมเลียแท่งหยก และใช้พู่กันวาดผ่านร่องก้น ความปรารถนาเต็มอกซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วยากจะระงับไว้ได้ถูกกระตุ้นเพราะเด็กหนุ่ม จนตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจและนึกสงสัย
ค่ำคืนดึกดื่น ห้องลับในห้องหนังสือ แสงเทียนส่ายไหวไปมา รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง ทว่าสองคนบนเตียงกลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นของอีกคน รัวเร็วขึ้นทุกที
เด็กหนุ่มนอนหมอบอยู่บนเตียง ก้มหัวต่ำ บั้นท้ายยกสูงเหมือนแมวยืดตัวบิดขี้เกียจ ที่พอเหยียดร่างออกหางก็เหยียดตรง ก้นกระดกสูง ท่าทางยั่วยวนน่าพิศ สามารถมองเห็นหุบเขาได้อย่างชัดเจน สีชมพูราวกับกลีบบุปผา
องค์ชายสามเอาพู่กันจุ่มน้ำผึ้งจนชุ่มอีกครั้ง ปัดป้ายหุบเขาสีชมพูของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ วนเวียนหลายรอบ ราวสายฝนอันอ่อนโยนแห่งวสันตฤดูที่จู่ๆ ก็พร่างพรมลงมา กระแสอบอุ่นสะสมควบแน่นจนแผ่เป็นม่านไอน้ำ
เด็กหนุ่มหลับตา ทั่วร่างอ่อนยวบ ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกราวกับได้ควบขี่กระแสลมขึ้นไปเยี่ยมเยียนถึงสวนท้อในดินแดนเซียน ร่างเขาเปลือยเปล่าราวกับทารกแรกเกิด คราแรกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยน้ำพุอุ่นร้อน ต่อมาก็เหมือนมีดาวตกพุ่งผ่านไปทั่วร่าง บันดาลความหฤหรรษ์มาให้จนอดโก่งก้นแมวเหยียดสูงขึ้นไม่ได้
พอเห็นว่าได้เวลาแล้ว องค์ชายสามก็ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน
หรูซิ่วลืมตาโพลงทันใด ดวงวิญญาณโผผิน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดองค์ชายสามจึงคอยกระตุ้นเร้าที่ก้นเขาไม่หยุด แม้ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ จะมีบทว่าด้วยการเสพสังวาสกับเพศเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่าจะร่วมอภิรมย์อย่างไร เขาจึงเข้าใจผิดไปว่าที่เมื่อครู่พ่นของเหลวข้นออกมาคือเสร็จสิ้นแล้ว ทว่ายามนี้ดูจากสิ่งที่อีกฝ่ายทำ เห็นได้ชัดว่าจะเอาแท่งหยกแข็งตึงนั้นสอดใส่เข้าไปในร่างเขา เพียงแต่จะต้องสอดนิ้วเข้าไปก่อนเช่นนั้นหรือ
พอเด็กหนุ่มรู้แจ้งก็ไม่ขัดขืนอีก แต่ยังคงไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะสอดใส่เข้าไปในกายเขาได้หรือ หรูซิ่วอดใจเต้นด้วยความกังวลไม่ได้ แต่พอคิดอีกที หากนี่คือสิ่งที่คนรักทำกัน แม้ตนจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ปรารถนาจะให้ผู้เป็นนายได้ทำตามใจ
‘ซิ่วเอ๋อร์ อย่ากลัว ถ้าเจ็บก็รีบบอกข้า’ องค์ชายสามบอกเบาๆ นิ้วหนึ่งสอดเข้าไปเล็กน้อยแล้ว ครั้นเห็นเด็กหนุ่มเบิกตากว้างแต่ไม่ได้ทักท้วง จึงสอดเข้าไปอีกนิ้วหนึ่ง ก่อนจะขยับเบาๆ
หรูซิ่วสูดหายใจเฮือก ในใจยังมีความหวั่นกลัวและกระดาก แต่พอถูกสัมผัสส่วนเร้นลับข้างใน ทั่วร่างก็บังเกิดความหฤหรรษ์รัญจวน เขากัดฟันไม่กล้าร้อง ในความเสียวซ่านมีความเจ็บปวดอยู่รางๆ องค์ชายสามพลิกนิ้วเล็กน้อย เขานิ่วหน้าอดกลั้นไว้ ร่างสั่นสะท้าน ในที่สุดก็ร้องครางออกมาเบาๆ
‘ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ ทำไมไม่บอก’ องค์ชายสามหยุดมือ ไม่กล้าสอดลึกเข้าไปอีก แต่แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น เอี้ยวตัวมามอง แล้วทำท่าบอกให้เขาทำต่อ
องค์ชายสามตบหลังปลอบเบาๆ แล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอีกครั้ง
ชั่วพริบตาสองแขนของหรูซิ่วก็ดันร่างขึ้น กล่าวเบาๆ ว่า ‘เหตุใดนายท่านไม่ลองดู…’
องค์ชายสามไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มจะเชื้อเชิญเช่นนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกฮึกเหิม แก่นกายแข็งตึงขึ้นทันที เห็นท่าทางหรูซิ่วยวนยั่วราวกับแมวน้อยก็โถมเข้าหา มือหนึ่งกอดเอวเด็กหนุ่มไว้ อีกมือคลำที่บั้นท้าย เอาน้ำผึ้งป้ายอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วมือสอดหยั่งเชิง แล้วหยัดร่างกดลงไป
สองมือหรูซิ่วกำผ้าห่มไว้แน่น เมื่อร่องก้นถูกถูไถ ตัวตนข้างล่างก็ชูชัน ทันใดนั้นในหุบเขาก็สั่นสะท้านขยายออก ทั้งความเจ็บปวดทั้งความหฤหรรษ์ประดังขึ้นมา สติรับรู้เลือนหายไปชั่วขณะ จิตใจสะท้านไหวรุนแรง เขารู้ว่าตนกำลังสอดประสานกับคนรัก ทันใดนั้นแขนขาก็อ่อนยวบ ปากร่ำร้องครวญคราง
ขณะเดียวกันองค์ชายสามก็รู้สึกหวั่นไหว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มเบื้องล่างจะทำให้จิตวิญญาณเขาหลุดลอยได้เช่นนี้ รูขุมขนทั่วร่างเปิดออก ส่วนนั้นฮึกเหิมกล้าแกร่ง แต่เขาพยายามสะกดอารมณ์ไว้ โอบประคองสะโพกเด็กหนุ่ม ดุนดันเบาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่กล้ารุนแรง อดกลั้นจนเหงื่อตก ด้วยเกรงว่าหากเร่งรีบเกินไป คนด้านล่างจะเจ็บปวด
องค์ชายสามได้ยินเสียงร้องแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกำลังเจ็บนัก เขาทนไม่ได้จึงหยุดแล้วคิดจะถอนกายออก แต่กลับถูกห้ามไว้
‘อย่าเพิ่งเอาออก ซิ่วเอ๋อร์…ซิ่วเอ๋อร์อยากอยู่ร่วมกับนายท่าน’ หรูซิ่วกัดฟัน หน้าผากพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ
องค์ชายสามซาบซึ้งใจยิ่ง เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำของหรูซิ่วในยามปกติ ล้วนเผยให้เห็นความรักและเคารพต่อตนผู้เป็นนาย หลายครั้งเห็นได้ชัดว่าต้องการจะเอาใจ เมื่อก่อนตนเคยมองเขาเป็นเพียงแค่เด็ก แต่ในยามนี้องค์ชายสามรู้แน่แก่ใจแล้วว่าความรักและความใคร่ของตนถูกจุดประกายขึ้นอย่างแท้จริง ตนไม่อาจเพิกเฉยต่อเด็กหนุ่มได้อีกต่อไป
สองคนแนบร่างชิดสนิทราวกับเป็นกายเดียว เคลื่อนขยับส่ายไหวไปตามแรงปรารถนาไม่หยุด ผู้อยู่เบื้องบนกดลง พยายามสอดลึกอย่างช้าๆ คนเบื้องล่างทนรับ หวังเพียงได้ร่วมอภิรมย์
เมื่อสะเก็ดไฟปะทุ ก็แผดเผาไหม้ลามจนกลายเป็นไฟป่า
หุบเขาขยายออก โอบล้อมรอบองค์ชายสาม สองร่างสั่นสะท้าน
ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มก็ร้องสะอื้นเหมือนแมว แผ่นหลังแอ่นโค้ง ตัวตนข้างล่างปลดปล่อยออกมา ผู้อยู่ด้านบนกอดรัดร่างเขาไว้ แก่นกายแข็งตึงกดลึกลงในช่องทางของเด็กหนุ่ม สั่นกระตุกครู่หนึ่ง ในที่สุดความปรารถนาก็พวยพุ่ง
หรูซิ่วเหงื่อท่วมตัว ร่างสั่นสะท้าน องค์ชายสามกอดเขาไว้แล้วนอนลง ทั้งรักทั้งสงสาร จึงตบปลอบไม่หยุด เมื่อเห็นเขาเงยหน้ามองตนด้วยรอยยิ้มพึงใจ ความรู้สึกก็ประดังถั่งท้น อดจุมพิตดูดดื่มอีกหลายครั้งไม่ได้ สองแขนโอบกอดแน่นอย่างไม่อาจห้ามใจ สะท้านหวั่นไหวไม่สิ้นสุด
เสพสมในคืนเหมันต์ สองเงาร่างเปลือยเปล่าซุกกายใต้ผ้าห่มผืนเดียว หน้าแนบหน้า ตระกองกอดกันหลับใหล