ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

ไห่ถังลู่ลง เสน่หาเพิ่มพูน

 

ฤดูเหมันต์ ลานด้านในมีต้นสุยซือไห่ถังยืนต้นงดงาม ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูกาลออกดอก แต่เมื่อคืนกลับมีดอกตูมผลิบนกิ่งก้าน อาจเป็นเพราะได้รับน้ำค้างที่บังเอิญตกลงมาอย่างชุ่มฉ่ำ เพียงชั่วข้ามคืนจึงผลิดอกอย่างเงียบเชียบ กลีบดอกละมุนลู่ลง พอสายลมหนาวพัดผ่านมาก็สั่นไหวไปตามแรงลม ราวกับเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าหนาวสะท้านไม่อาจทานทน ดูแล้วช่างน่าเวทนา

องค์ชายสามสวมเสื้อคลุมกันลมหนังเตียว* สีดำ ยืนอยู่ใกล้ดอกของมัน เขาเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสดอกสุยซือไห่ถังดอกนั้นอย่างเบามือ แล้วหวนนึกถึงคนในอ้อมกอดเมื่อคืน ใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เรียกหรูซย่ามาสั่งการเรื่องกิจธุระบางเรื่องอย่างละเอียด แล้วเดินทางไปทำงานที่กรมพิธีการ

ตะวันในฤดูเหมันต์ค่อยๆ ลอยสูง

ในห้องลับด้านในห้องหนังสือ ขนตาของเด็กหนุ่มค่อยๆ ขยับ พอลืมตาขึ้นก็เหลือบมองข้างกายทันที เมื่อพบว่าคนข้างกายไม่อยู่นานแล้วก็อดรู้สึกโหวงๆ ไม่ได้ แต่ก็พบว่าตนสวมเสื้อตัวในกับกางเกงยาวเรียบร้อย นายท่านต้องเป็นคนสวมให้แน่ ในใจพลันอุ่นวาบ ภาพต่างๆ เมื่อคืนผุดพรายขึ้นในห้วงความคิด เขาพลิกนอนตะแคง ยื่นมือไปลูบไล้ตรงที่องค์ชายสามทอดกายลงนอนเมื่อคืน สองแก้มแดงก่ำอย่างไม่อาจห้าม

แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เขาตกใจจนรีบพลิกตัวนอนหงายแล้วหลับตา พอเงี่ยหูฟังก็พบว่าไม่ใช่เสียงฝีเท้าขององค์ชายสาม เพิ่งจะเบาใจได้ บานประตูก็ถูกผลักเปิดออก หัวใจเขาเต้นรัว กังวลว่าหากผู้มาเห็นเขานอนอยู่ห้องด้านในคงจะเกิดข้อสงสัย ขณะกำลังว้าวุ่นลนลาน อีกฝ่ายก็นั่งลงที่ขอบเตียง แล้วเอาฝ่ามือทาบบนหน้าผากเขา จากความหยาบกร้านของฝ่ามือที่สัมผัสได้ หรูซิ่วจึงลืมตาขึ้นทันที

‘พี่หรูซย่า’ เขาแสร้งทำเป็นเพิ่งตื่น กะพริบตางัวเงียมองคนตรงหน้า

อีกฝ่ายถามอย่างเป็นกังวล ‘ข้าเสียงดังจนทำเจ้าตื่นหรือ’

เขาส่ายหน้า ท่าทางขัดเขิน ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นปิดครึ่งหน้าอย่างไม่รู้ตัว พูดด้วยความลังเล ‘เมื่อคืน…’

‘ข้ารู้ องค์ชายสามทรงบอกหมดแล้ว’

หรูซิ่วตกใจจนเกือบจะกระโดดลงจากเตียง กระทั่งได้ยินประโยคต่อมาถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก

‘เจ้ารู้สึกไม่สบายทำไมถึงไม่มาหาข้า องค์ชายสามทรงบอกว่าหากไม่ใช่เพราะหาหนังสือไม่พบ แล้วเสด็จไปเรียกหาเจ้า ก็คงไม่รู้ว่าเจ้ามีไข้’

หรูซิ่วรีบรับสมอ้าง ไม่คิดเลยว่าองค์ชายสามจะโกหกเก่งขนาดนี้ โชคดีที่หรูซย่าไม่ใช่คนขี้สงสัย และเชื่อฟังเจ้านายเสมอมา

‘พอได้นอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกดีขึ้นมาก’ เห็นสีหน้าหรูซย่าเต็มไปด้วยความกังวล หรูซิ่วก็ไม่กล้าโกหกพล่อยๆ ได้แต่เก็บงำคำพูดที่ไม่จำเป็นเอาไว้

‘องค์ชายสามตรัสว่าห้องของเจ้าหนาวเกินไป สภาพก็เก่าโกโรโกโส ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ข้าสะเพร่าไม่ทันคิด เมื่อเช้าข้าพาคนไปช่วยเปลี่ยนห้องให้เจ้าแล้ว เครื่องนอนข้าวของต่างๆ ล้วนเปลี่ยนใหม่ ยังมีเสื้อกันลมตัวหนา รองเท้ากับของอย่างอื่นอีก ตอนสายๆ เจ้าค่อยไปดูเองก็แล้วกัน’

‘ทำอย่างนี้ข้าก็แย่น่ะสิ! เด็กรับใช้คนอื่นๆ ต้องไม่ชอบใจแน่’ หรูซิ่วโอด

‘ใครกล้าไม่ชอบใจ’ หรูซย่าถลึงตา น้ำเสียงฟังดูออกจะโอ้อวด ’เจ้ารับมีดบินแทนองค์ชายสาม บัดนี้สถานะต่างไปจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ จะไม่สมควรได้รางวัลตอบแทนมากหน่อยหรือ หากใครไม่พอใจก็ให้เขามาพูดกับข้านี่’

หรูซิ่วเอ่ยขอบคุณเบาๆ รู้สึกอบอุ่นในใจ หลายปีที่ผ่านมาหรูซย่าเป็นเสมือนพี่ชายของเขา คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนคอยปกป้อง

‘ยังมีอีกเรื่อง องค์ชายสามทรงบอกว่าหากหรูตงทำหน้าที่เด็กรับใช้ในห้องหนังสือไม่ได้ ก็รอให้เจ้าอาการดีขึ้นก่อน ถึงค่อยกลับไปทำงานในห้องหนังสือ’ หรูซย่าเกรงว่าคนอายุยังน้อยอย่างเขาจะรู้สึกผิดหวัง จึงรีบบอก ‘แต่ถ้าเจ้าอยากเรียนวิชามวย ข้าหาเวลามาสอนให้ได้นะ’

‘พี่หรูซย่าอย่าผิดคำพูดก็แล้วกัน’ หรูซิ่วจงใจเย้าเล่น ‘แต่พี่อย่าจงใจสอนมั่วๆ ปิดบังเคล็ดวิชาเพราะกลัวว่าข้าจะเก่งกว่าท่านล่ะ’

‘มิน่าเล่าองค์ชายสามจึงทรงบอกว่าเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ ฟังสิว่าพูดอะไรออกมา!’ หรูซย่ากำลังจะเขกหน้าผากเขาสักที แต่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนอีกฝ่ายเพิ่งจะไข้ขึ้น จึงรีบเก็บมือแล้วเปลี่ยนเป็นตีเบาๆ แทน

ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง หรูซย่าเตือนให้เขานอนพักให้สบายใจไปก่อนอีกสักสองวัน แล้วจึงค่อยเดินจากมา

ทว่าหรูซิ่วห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว รีบลุกขึ้นหวีผมอาบน้ำลวกๆ พอเดินออกมาจากห้องก็เห็นว่าเป็นยามเที่ยงวันแล้ว เขายังไม่ไปกินข้าว เพราะใจมุ่งแต่จะไปดูห้องใหม่ ยามที่ก้าวเดินก็รู้สึกเหมือนร่างกายท่อนล่างผิดแปลกไป จึงอดกระวนกระวายใจไม่ได้ ดีที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อคืน ทว่าเขาก็รู้สึกอีกเช่นกันว่าร่างกายนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ทั้งสดชื่นและงดงามเหมือนได้เกิดใหม่ ราวกับกิ่งก้านต้นไม้ที่อาบน้ำค้างมาทั้งคืน

ห้องใหม่ของเขาอยู่ติดกับห้องนอนขององค์ชายสามเพียงผนังกั้น ก่อนหน้านี้เป็นห้องของหรูซย่า พอครึ่งปีก่อนหรูซย่าแต่งภรรยา องค์ชายสามจึงมอบห้องที่กว้างขวางกว่าเดิมให้ ห้องนี้จึงกลายเป็นห้องว่างมาตลอด

มาบัดนี้ห้องเป็นของเขาแล้ว!

หรูซิ่วดีใจเป็นที่สุด ขลุกอยู่ในห้องคนเดียว เดี๋ยวเอาเสื้อกันลมตัวหนาบนชั้นมาสวมทับแล้วหมุนตัวไปมา เดี๋ยวลองสวมรองเท้าหนังวัวหุ้มข้อที่วางไว้หน้าเตียง พอเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ข้างในก็มีเสื้อตัวในที่ดูนุ่มสบายแขวนเรียงกันไว้หลายตัวอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะตัวเล็กมีสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ** ที่เขาใช้จนคุ้นมือ รวมถึงธูปหอมก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ชำระร่างกายก็เปลี่ยนใหม่ ยังมีสบู่และขี้ผึ้งหอมที่ดูมีราคาวางไว้ข้างอ่างล้างหน้าด้วย เขาหยิบขึ้นมาสูดดมกลิ่นก็ปลาบปลื้มใจ แม้เมื่อครู่จะล้างหน้ามาแล้ว แต่พอได้เครื่องหอมเหล่านี้มาก็นึกอยากจะล้างใหม่อีกครั้งเสียอย่างนั้น

หลังจากหยิบจับเสื้อผ้าข้าวของต่างๆ มาเชยชมด้วยความเบิกบานจนหัวใจพองโต หรูซิ่วก็นอนลงบนเตียงที่นุ่มสบาย ก่อนจะลูบไล้ผ้าปูอย่างพึงพอใจ ของเหล่านี้เป็นผ้าไหมเนื้อดีเช่นเดียวกับที่ใช้ในห้องด้านในของห้องหนังสือ หมอนหนุนนอนแล้วแสนสบาย ยังมีกลิ่นหอมสะอาดของใบชาเจืออยู่ด้วย สองข้างเตียงแขวนถุงหอมล้ำค่าเอาไว้ หรูซิ่วพบว่าในฟูกนอนยังมีกล่องผ้าที่เขาใช้ซ่อนเงินวางไว้อย่างเรียบร้อย พอเปิดออกดูก็ต้องตกตะลึง

ป้ายหยกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และพัดจีบหักๆ ซึ่งเขาแอบเก็บไว้หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นพัดจีบลายดอกเบญจมาศเล่มหนึ่งที่องค์ชายสามใช้อยู่เสมอเมื่อหน้าร้อนปีกลาย และป้ายหยกสีเขียวสดที่องค์ชายสามห้อยไว้ที่เอวเป็นประจำ

นายท่าน…

หรูซิ่วซาบซึ้งใจจนขอบตาร้อนผ่าว เขาใช้ชายแขนเสื้อขัดถูป้ายหยกอย่างทะนุถนอม แล้วนำมาสอดเก็บไว้ในอกเสื้อข้างหัวใจ ก่อนจะหยิบออกมาแนบแก้มอยู่เป็นนาน จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิบนเตียง เอาแต่เล่นพัดจีบและป้ายหยกไม่ยอมวางมือ

จู่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้น เขารีบหันไปมอง แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงขององค์ชายสามก็ดังแว่วมา ‘ที่แท้มาหลบอยู่นี่เอง เล่นอะไรอยู่หรือ’

‘มีทางทะลุถึงกันได้อย่างไร’ หรูซิ่วตกตะลึง มององค์ชายสามผลักผนังข้างตู้เสื้อผ้าแล้วเดินออกมา

องค์ชายสามเห็นเขาในมือหนึ่งถือป้ายหยก อีกมือถือพัดจีบ ก็มองอย่างประหลาดใจ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘นี่เป็นทางลับ เพื่อความสะดวกในการคุ้มกันภัยจึงได้สร้างทางลับที่ผนังขึ้น ที่ผ่านมามีเพียงข้ากับหรูซย่าที่รู้ แต่ตอนนี้มีเจ้าเพิ่มมาอีกคน’

‘ช่างสร้างได้ดียิ่ง!’ หรูซิ่วรีบลงจากเตียง วิ่งไปสำรวจดูทางลับอย่างละเอียด เขาแปลกใจนัก ไม่คิดเลยว่าถ้าผลักผนังข้างตู้เสื้อผ้าเข้าไปก็จะเดินไปถึงห้องนอนขององค์ชายสามได้ ไม่ต้องใช้ประตูใหญ่ข้างนอก ใครก็ไม่รู้ไม่เห็น ช่างลึกลับน่าสนใจจริงๆ

‘แต่เหตุการณ์ในวังก็สงบราบรื่นตลอดมา จึงแทบไม่ได้ใช้เลย’ แต่ช่วงนี้กลับไม่สงบสุขเสียแล้ว เขาพลันคิดถึงมือสังหารปากแข็งผู้นั้นที่ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว แล้วก็นึกถึงหรูจงที่เช้านี้พอฟื้นขึ้นมา ก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนในเรื่องนี้ เอาแต่ร้องว่าถูกใส่ความ ยังบอกว่าจะยอมตายเพื่อพิสูจน์ความจริง ช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก

‘วันหน้าหากนายท่านเรียกหากลางดึก ข้าจะผลักผนังด้านนี้เข้าไปรับใช้’ หรูซิ่วยินดีอย่างยิ่ง ลองเปิดปิดประตูไปมาไม่หยุด

องค์ชายสามเห็นท่าทางหรูซิ่วบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ความขุ่นข้องในใจก็สลายไปโดยพลัน ตอนที่เขาบอกว่าจะเข้ามารับใช้ยามดึก แม้ตนรู้ว่าคงไม่ได้มีเจตนาจะบอกเป็นนัย แต่พอได้ฟังแล้วก็ออกจะรู้สึกสองแง่สองง่ามอยู่บ้าง จึงอดยิ้มไม่ได้

หนุ่มน้อยสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าผู้เป็นนาย ก็พบว่าตัวเองหลุดปากพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นทั้งใบหน้าใบหูก็แดงก่ำ เขาวิ่งไปที่หน้าตู้เสื้อผ้าอย่างกระอักกระอ่วน แล้วหยิบเสื้อกันลมขึ้นมา พูดวกวนละล่ำละลักกล่าวขอบคุณ ระหว่างนั้นองค์ชายสามเอาแต่ยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปหาพลางเรียกเสียงเบา ‘ซิ่วเอ๋อร์ มาหาข้าสิ’

หรูซิ่วซึ่งกำลังแสร้งทำเป็นจับเสื้อกันลมเล่น เมื่อเห็นว่าเจ้านายกวักมือเรียก ค่อยเดินไปหาอย่างเหนียมอาย เมื่ออยู่ห่างอีกสองสามก้าวก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปกอด เขาเงยหน้าขึ้นมองนิ่ง ท้วงเบาๆ ‘นายท่าน…’

‘เมื่อคืนลำบากเจ้าแล้ว’ องค์ชายสามพูดเสียงทุ้มต่ำ มือหนึ่งโอบเอวเขา อีกมือลูบไล้บั้นท้ายไปจนถึงต้นขา ‘หลังมื้อเย็น ข้าจะทายาให้’

หรูซิ่วหน้าแดงซ่านขึ้นทันที เมื่อคืนเขาอ่อนเพลียมาก แต่ขณะหลับก็รู้สึกได้ว่าตรงที่ที่สองร่างแนบชิด เหมือนจะมีอะไรบางอย่างมาถูไถ ทำให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง หรูซิ่วเขินอาย รีบบอกว่า ‘ข้าทาเองก็ได้ขอรับ’

‘เจ้าไม่เห็นตรงที่เป็นแผล จะทายาได้อย่างไร’ องค์ชายสามพูดด้วยท่าทีสนิทสนม ราวกับจะบอกว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่ถ้อยคำที่พูดออกมากลับทำให้หรูซิ่วแทบอยากจะมุดหนีลงดิน ต่อให้ปกติเขาจะพูดเก่งเพียงใด แต่เวลานี้กลับเขินอายจนพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก องค์ชายสามเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มก็นึกสงสาร จึงลูบไล้ใบหน้าเขาเบาๆ แล้วถามเรื่องที่ตนกังวลมาทั้งวัน ‘เวลาเดินเจ็บหรือไม่’

‘…นายท่านอย่าถามอีกเลย’ น้ำเสียงแทบจะอ้อนวอน เขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีแล้ว ‘ข้าขอร้องท่าน’

‘ที่แท้ซิ่วเอ๋อร์ก็เป็นคนขี้อายถึงเพียงนี้’ องค์ชายสามอารมณ์ดี จึงหยอกเย้าเขาเล่นอย่างสบายใจ

‘นายท่านต่างหากที่หน้าหนา’ หรูซิ่วหลุดปากออกมา แต่แล้วก็รีบเม้มปากแน่น มองเขาอย่างหวาดระแวง

‘ทำท่ากลัวให้น้อยๆ หน่อย คิดว่าข้าไม่รู้นิสัยเจ้าหรือไร ทั่วทั้งวังแห่งนี้มีเจ้าที่เจ้าเล่ห์ที่สุด’ องค์ชายสามยิ้มพลางต่อว่า

‘ข้าเจ้าเล่ห์ตรงไหนกัน! หรูจงต่างหากที่เจ้าเล่ห์ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาลอบเอาบทบวงสรวงไปให้มือสังหาร แต่กลับยืนกรานไม่ยอมรับเสียนี่’ หรูซิ่วพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด

‘พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็น่าโมโหนัก พอเขาได้สติฟื้นขึ้นมา ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้จะปลิดชีพตัวเอง หรูซย่าต้องสั่งให้คนคอยจับตาดูไว้ ป้องกันไม่ให้เขาคิดสั้นขึ้นมา’

หรูซิ่วทำเสียงเยาะแสดงความดูหมิ่น ’พวกที่วันๆ เอาแต่พูดว่าจะตายๆ นี่ล่ะที่กลัวตายที่สุด ข้าว่าต่อให้คนอื่นๆ ตายกันหมด เขาก็ยังมีชีวิตอยู่…ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว ข้าจะต้องหาทางกระชากหน้ากากเขาออกมาให้ได้’

‘พูดถึงเรื่องนี้…วันนี้ข้าคิดๆ อยู่นาน เจ้ายังอายุน้อย เรื่องเหล่านี้อย่าสอดมือเข้าไปยุ่มย่ามจะดีกว่า ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องพลอยยุ่งยากไปด้วย’ น้ำเสียงองค์ชายสามอบอุ่นอย่างยิ่ง พูดไปก็ลูบไล้ใบหน้าเขาไปด้วย

หรูซิ่วไม่ยอม ‘ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว เมื่อคืนนายท่านยังพูดอยู่เลย…’

‘เรื่องเหล่านี้จัดการลำบาก อาจมีอันตรายแฝงอยู่’ เดิมทีเขาก็ทนไม่ได้อยู่แล้วที่หรูซิ่วต้องได้รับบาดเจ็บ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าหลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนมา และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาจึงยิ่งไม่อยากให้หรูซิ่วต้องเสี่ยงอันตราย

‘ข้าเพียงเสนอความเห็นอยู่ข้างๆ เท่านั้น จะมีอะไรน่ากลัวได้เล่าขอรับ อีกอย่าง มองอย่างไรข้าก็เห็นว่าพี่หรูซย่าต้องมีผู้ช่วย’ คนในวังองค์ชายสามล้วนทำงานแบบเอื่อยเฉื่อย ไม่มีใครช่วยงานได้ จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร หรูซิ่วไม่ยอม พยายามหว่านล้อมอย่างกระตือรือร้นไม่หยุด เขาเห็นผู้เป็นนายเอาแต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า จึงยิ่งใจกล้า ยื่นมือไปลูบเอาใจ ‘นายท่านให้ข้าช่วยเถอะนะขอรับ ข้าก็แค่ใช้ปากทำงานเท่านั้นเอง’

องค์ชายสามนิ่งไปครู่หนึ่ง ลังเลไม่แน่ใจ แต่พอเห็นหรูซิ่วคอยอ้อนวอนไม่หยุด ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ‘อันที่จริงในวังก็ไม่มีคนที่มีความสามารถ หรูซย่าก็ไม่ได้เก่งกาจเรื่องการสืบคดี…เอาล่ะ ที่ผ่านมาคนหัวไวอย่างเจ้ามีความคิดมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย เช่นนั้นก็ให้เจ้ากับหรูซย่าช่วยกันตรวจสอบแล้วกัน แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด’

‘ขอรับ หากมือสังหารมาอีก ข้าจะหลบอยู่ข้างหลังพี่หรูซย่าก็แล้วกัน’ หรูซิ่วตั้งใจพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย หยอกองค์ชายสามให้สบายใจ

‘เจ้ายังจะกล้าพูดอีก ดูเสียก่อน เมื่อคืนพ่ายแพ้ยับเยินมิใช่หรือ’ องค์ชายสามต่อว่า ‘ข้าจะหาอาจารย์คนใหม่มาสอนให้ ยังจะจับตาดูเจ้าฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย’

‘ไม่ใช่เพราะข้าอ่อนแอ แต่นายท่านแข็งแกร่งเกินไป’ หรูซิ่วแก้ตัวเสียงอ่อย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ‘นายท่านสอนข้ายิงธนูได้หรือไม่ขอรับ คืนนั้นนายท่านยิงธนูคราเดียวก็ถูกมือสังหารที่อยู่บนหลังคา ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ ข้าเองก็อยากจะหัดบ้าง’

องค์ชายสามเห็นสายตาแสดงความชื่นชมนับถือของเขา สักพักก็ใจอ่อน ก้มหน้าจุมพิตแล้วพยักหน้า ‘รอให้แผลเจ้าหายดีเสียก่อน ข้าจะสอนให้’

ทั้งสองยืนจูบกันอย่างดูดดื่มหน้าทางเดินลับครู่หนึ่ง ขณะองค์ชายสามกำลังจะดึงสายคาดเอวของเขาออก พลันได้ยินเสียงท้องร้องก็แปลกใจ ‘ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลย?’

‘เมื่อครู่มัวแต่ดูห้องใหม่ ก็เลยลืมกินข้าวขอรับ’ หรูซิ่วเห็น ผู้เป็นนายจู่ๆ ก็ทำหน้าขึงขัง จึงรีบพูดเอาใจ ‘ต่อไปซิ่วเอ๋อร์จะไม่ทำอีก นายท่านอย่าต่อว่าข้าเลยนะ’

‘คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน’ องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายทำท่าออดอ้อน จึงลูบไล้ใบหน้าเขาพลางกล่าว ‘ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารให้ เจ้ายังไม่หายดี จะปล่อยให้ตัวเองหิวโซได้อย่างไร’

หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามปฏิบัติต่อตนอย่างอบอุ่นอ่อนโยนก็ยิ่งมุ่งมั่นอยากช่วยแบ่งเบาภาระ อย่าว่าแต่ให้แสดงความเห็นเฉยๆ เลย ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่พร่ำบ่น เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กลัวก็แต่องค์ชายสามจะไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

ทั้งสองคลอเคลียกันอีกสักพัก หรูซิ่วจึงพบว่ามือทั้งสองข้างขององค์ชายสามล้วงเข้าไปในเสื้อของตนแล้ว เขาอดกังวลไม่ได้ว่าชายหนุ่มจะทำสิ่งที่ทำไปเมื่อคืนทั้งหมดอีกครั้ง ให้ทำเรื่องพรรค์นั้นกลางวันแสกๆ เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน ด้วยการถามความเป็นไปในช่วงหลายวันมานี้ แต่ฟังๆ แล้วก็ไม่มีอะไรผิดแปลก จึงพูดว่า ‘ข้าว่าอย่ากักตัวจงเอ๋อร์อีกเลย แสร้งทำเป็นเชื่อเขาไปก่อน ปล่อยให้ทำอะไรอย่างอิสระ พวกเราเพียงคอยสังเกตการณ์ในทางลับ ถ้าเขามีพิรุธจริงๆ จะต้องมีความเคลื่อนไหวอีกเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเราอาจได้เบาะแสที่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ได้’

องค์ชายสามครุ่นคิด ก่อนจะหยิกแก้มเขาเบาๆ ‘เจ้ากับเขามีความแค้นต่อกันมานาน คงไม่ใช่ถือโอกาสแก้แค้นหรอกนะ’

‘ตอนนี้การสืบหาความจริงสำคัญที่สุด หากเขาทรยศนายท่านจริงๆ ข้าจะบดขยี้เขาไม่ให้เหลือแม้แต่ขี้เถ้า แต่หากเป็นการเข้าใจผิดก็จะได้ล้างมลทินให้ผู้บริสุทธิ์ อีกหน่อยค่อยคิดหาทางแก้แค้นโดยอ้างอำนาจหน้าที่ก็ได้’ หรูซิ่วพูดจบก็ทนไม่ไหว หัวเราะร่า

‘น่าจะตั้งเจ้าให้เป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน’ องค์ชายสามตีก้นเขาทีหนึ่ง

‘นายท่านตีข้าอีกแล้ว!’ หรูซิ่วท้วง ‘แต่ข้าว่านายท่านก็ควรตั้งตนเป็นเจ้านายหน้าหนาอันดับหนึ่งของแผ่นดินด้วยนะขอรับ’ พูดจบก็ผลุบออกจากอ้อมกอดองค์ชายสาม จะวิ่งหนีไป

องค์ชายสามรู้สึกว่าน่าขัน เขาเพียงก้าวเท้าออกไปก็คว้าตัวหรูซิ่วกลับมาได้ แล้วจึงแสดงความรักใคร่สนิทแนบแน่นกันอีกรอบ…

เมื่อหวนคิดดูแล้ว คงจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่หรูซิ่วย่างเท้าก้าวเข้าสู่โชคชะตาอันพลิกผันขององค์ชายสาม สุดท้ายก็ได้ร่วมหัวจมท้ายจนไม่อาจถอนตัว

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตรารักสายเลือดบาป เล่ม 1 ฉบับเต็ม

ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop

 

* เตียวเป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิ้ล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว

** สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ หมายถึงของสำคัญสี่อย่างในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ พู่กัน หมึก และแท่นฝนหมึก

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย

    By

      มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด   ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตู...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย

    By

    เด็กหนุ่มรูปงาม อุทิศตนเป็นบ่าวรับใช้   ในห้องที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ คนทั้งสองหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่ามกลางความมืด...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    แสงดาราพาดผ่าน ดวงชะตาเคลื่อนคล้อย   กลางดึก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากเมืองอย่างช้าๆ ระหว่างที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ตัวรถก็ส่ายไปซ้ายทีขวา...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย

    By

    สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ฝันร้ายอันยากจะลืม   ความจริงแล้ว...เขาแตกต่างจากผู้อื่นที่ใดกันแน่ เหตุใดใครๆ จึงต่างรังเกียจเขาเช่นนี้   ส...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.2   เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหน...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.1   วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทก...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 2   ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com