ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 6
เช้าวันต่อมา ฟ้ายังไม่ทันสางเว่ยเซ่าก็ลุกขึ้นออกจากห้อง เขาจะไปเมืองอู๋จงรับสวีฮูหยินผู้เป็นย่ากลับเมืองอวี๋หยางด้วยตนเอง เดินทางไปกลับต้องใช้เวลาราวสามสี่วัน
เว่ยเซ่าตื่นนอนย่อมไม่ต้องให้เสี่ยวเฉียวปรนนิบัติอันใด ทว่านางก็ยังลุกขึ้นตามหลังเขาในไม่ช้า
เสี่ยวเฉียวไม่อาจเป็นเช่นตอนอยู่เมืองซิ่นตูที่นางเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว สามารถนอนหลับถึงสายแล้วค่อยลุกจากเตียงเช่นนั้นได้อีก
‘ตกค่ำปรนนิบัติเข้านอน เช้ามาคารวะเยี่ยมเยียน’ คนเป็นบุตรชายสามารถงดเว้นธรรมเนียมนี้เพราะมีงานสารพัดรัดตัว ทว่าคนเป็นสะใภ้กลับไม่มีข้ออ้างอันใดให้สามารถหลบเลี่ยงได้ ต่อให้รู้แก่ใจดีว่าแม่สามีชิงชังรังเกียจตนเพียงใดก็ไม่อาจทำแค่พอเป็นพิธี
สาวน้อยหวีผมแต่งตัวเตรียมไปที่เรือนบูรพา ตอนออกจากห้องนางเหลือบมองกล่องที่เว่ยเซ่าสอบถามตนเมื่อคืนตามจิตใต้สำนึก และพบว่ากล่องใบนั้นหายไปแล้ว
ยามเหม่า เสี่ยวเฉียวมาถึงหน้าห้องใหญ่ของเรือนบูรพาตรงเวลาพอดี ขณะที่นางยืนอยู่บนระเบียงทางเดินรอคอยจูซื่อเรียกพบนั้น แท้จริงในกลุ่มข้ารับใช้ทั่วทั้งจวนสกุลเว่ยกำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้กันอยู่
ว่ากันว่าพวกบ่าวโจษกันเป็นตุเป็นตะเรื่องที่ฮูหยินสั่งให้คนไปแอบฟังนายท่านกับนายหญิง แต่สุดท้ายกลับถูกนายท่านจับได้ นายท่านจึงระเบิดโทสะชักกระบี่ฟันกรอบประตูหักสะบั้นในทันที
ปกติจูซื่อเองก็มีความสัมพันธ์กับคนในจวนไม่สู้ดีนัก พอก่อเรื่องพิลึกคนเยี่ยงนี้จึงเป็นธรรมดาที่พวกบ่าวจะกล่าวถึงลับหลังกันอย่างครึกโครม
เสี่ยวเฉียวกับพวกบ่าวเรือนบูรพาที่ทำงานรับใช้อยู่ด้านนอกจ้องมองกันไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่หัวหน้าหญิงรับใช้อาวุโสแซ่เจียงที่เมื่อวานเห็นรับใช้อยู่ข้างกายจูซื่อค่อยเดินหน้าถมึงทึงออกมาแจ้งว่าเข้าไปได้แล้ว
เสี่ยวเฉียวเข้ามาในห้องเดิมที่เมื่อวานเคยมาเยือน จูซื่อยังคงนั่งสง่าบนตั่งในอิริยาบถเดียวกับเมื่อวานนี้ เพียงแต่ด้านข้างไม่พบเห็นเจิ้งซูผู้นั้นแล้ว
จูซื่อมีสีหน้าไม่ชวนมอง เสี่ยวเฉียวเข้ามาคารวะกล่าวทักทายแล้วนางก็เบือนหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดสักคำ
เจียงเอ่าเอ่ยเสียงเย็นชา “ในฐานะสะใภ้สกุลเว่ย กฎเกณฑ์บางข้อยังคงต้องรู้ไว้ เมื่อวานฮูหยินไม่ทันได้สอนสั่ง ยามนี้จึงให้บ่าวสอนสั่งแทน นายหญิงฟังให้ดีนะเจ้าคะ”
เสี่ยวเฉียวกล่าวเสียงอ่อนน้อม “เชิญชี้แนะ ข้ามิกล้าไม่ปฏิบัติตาม”
“ในฐานะสะใภ้สกุลเว่ย ต้องยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติของสตรี เคร่งครัดในจรรยาหญิง กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ปรองดองกับคนในวงศ์ตระกูล ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมตามหลักจารีต นอบน้อมไม่ฝ่าฝืน ไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ก้าวก่ายงานของสามี ท่านจำได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสี่ยวเฉียวขานรับก่อนเอ่ยทวนหนึ่งรอบ
“ดีมากเจ้าค่ะ ฮูหยินตื่นเช้ายังไม่ได้กินอาหาร นายหญิงจะลงครัวทำน้ำแกงข้นสักชามให้ฮูหยินกับมือได้หรือไม่”
เสี่ยวเฉียวช้อนตาขึ้นนิดๆ มองไปทางจูซื่อ ดวงตาของอีกฝ่ายกึ่งหลับกึ่งลืม
ไม่ได้กินอาหารเช้าต้องการให้นางไปทำให้ที่ใดกันเล่า จงใจไล่นางไปทำงานแล้วค่อยกลั่นแกล้งเสียมากกว่า เสี่ยวเฉียวกล้าพูดเลยว่าหากนางลงครัวไปทำมาจริง รอจนยกเข้ามาแล้วจูซื่อก็ต้องติสารพัดสั่งให้นางไปทำมาใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบยังนับว่าเบา หากกินแล้วบอกว่าท้องเสีย ถึงขั้นอาเจียนถ่ายท้องทั้งบนล่าง หรืออาหารเป็นพิษจนนอนซมลุกไม่ขึ้น ถึงตอนนั้นนางคงถึงคราวดวงตกแล้วจริงๆ แน่
เจียงเอ่าเห็นเสี่ยวเฉียวไม่ขยับ ใบหน้าจึงเผยยิ้มเหยียด “เป็นอะไรเจ้าคะ นายหญิงไม่ยินดีหรือ”
เสี่ยวเฉียวมีข้ออ้างบอกปัดแล้ว เป็นข้ออ้างที่พร้อมใช้งานเสียด้วย เอามาอ้างเสียก็สิ้นเรื่อง นางกล่าว “มิกล้า ลงครัวเคี่ยวน้ำแกงข้นให้ท่านแม่เป็นหน้าที่อันพึงกระทำ ข้าไหนเลยจะปฏิเสธ เพียงแต่ข้ามีเรื่องติดขัดเล็กน้อยอยู่จริงๆ งานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านย่าจวนจะถึงแล้ว ตั้งแต่วันที่รู้ ข้าก็ตั้งจิตอธิษฐานขอพรต่อหน้าองค์พระว่าจะคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่ว หนึ่งฉบับเพื่ออวยพรวันเกิดท่านย่า คัมภีร์มีความยาวอย่างยิ่ง วันเกิดท่านย่าก็กระชั้นเข้ามาทุกที แม้จะพยายามคัดลอกทุกวันแล้ว ความคืบหน้าก็ยังคงมีจำกัด ข้าเร่งงานจากเช้าจรดค่ำ ไม่กล้าเกียจคร้านแม้สักครู่เดียว หากถึงวันเกิดของท่านย่าแล้วข้าไม่อาจทำตามที่ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าองค์พระได้ทันตามกำหนด เกรงว่าจะขัดต่อความตั้งใจเดิมจนเป็นเหตุให้พรไม่สัมฤทธิผล”
“นอกจากนี้ยังมีอีกประการหนึ่ง” เสี่ยวเฉียวเว้นวรรคก่อนกล่าวต่อ “เพื่อแสดงออกซึ่งความจริงใจ ตอนนั้นข้าจึงตั้งจิตอธิษฐานอีกว่าหากยังคัดลอกคัมภีร์ไม่เสร็จสิ้น ข้าจะกินเจและไม่จับต้องของคาว หากตอนนี้เข้าออกสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยของคาวเช่นโรงครัวแล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นมงคล ขอท่านแม่ได้โปรดอภัย รอให้ข้าเร่งมือคัดลอกคัมภีร์จนจบแล้วจะมาอยู่รับใช้ข้างกายท่านแม่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียวพูดจบก็ก้มหน้าลง
นางแน่ใจว่าเมื่อยกสวีฮูหยินซึ่งเป็นดั่งพระองค์ใหญ่นี้ออกมา จูซื่อก็จะสิ้นหนทางบีบบังคับนางต่อไป
เมืองหลวงลั่วหยางในยามนี้พุทธศาสนาเฟื่องฟู ตามข่าวที่ชุนเหนียงสืบมาได้ สวีฮูหยินเองก็นับถือพุทธ เรื่องที่นางคัดลอกคัมภีร์เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อขอพรแด่ฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ ยังจะมีสิ่งใดสำคัญยิ่งไปกว่านี้ได้อีก
จริงดังคาด สีหน้าของจูซื่อยิ่งไม่ชวนมองเข้าไปใหญ่
ในห้องพลันเงียบกริบ ครู่หนึ่งเสี่ยวเฉียวถึงได้ยินเจียงเอ่าผู้นั้นฝืนใจกล่าวในที่สุด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ไปเถิดเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียวโขกศีรษะให้จูซื่ออีกครั้งก่อนลุกขึ้นกล่าวลา
เมื่อกลับถึงห้องของตน เสี่ยวเฉียวก็เปลี่ยนมาสวมชุดลำลองที่หลวมสบาย ฟุบร่างบนตั่ง นึกถึงสีหน้าของมารดาเว่ยเซ่าเมื่อครู่นี้ นางก็ทั้งอยากหัวเราะ ทั้งต้องกลัดกลุ้มเล็กน้อย
สิ่งที่นางกลัดกลุ้มมิใช่เรื่องคัมภีร์แต่อย่างใด
ในชาติภพที่นางจากมา นับได้ว่านางเติบโตอยู่ในครอบครัวของปราชญ์ บิดามารดาล้วนเป็นศาสตราจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย นางจึงได้ซึมซับผ่านหูผ่านตา เริ่มหัดคัดพู่กันตั้งแต่ยังเล็ก มุ่งมั่นฝึกฝนอยู่สิบกว่าปีจนลอกเลียนอักษรเสี่ยวข่าย แบบจ้าวเมิ่งฝู่ ได้สวยงามอย่างไร้ที่ติ ทว่าเนื่องจากสุขภาพอ่อนแอขี้โรคมาแต่กำเนิด สุดท้ายตอนที่นางอายุได้ยี่สิบเศษก็ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใดพอฟื้นตื่นขึ้นก็กลายมาเป็นเสี่ยวเฉียวในตอนนี้เสียแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองตง นางคัดอักษรบนผ้าไหมเป็นการฆ่าเวลา เคยทยอยคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วซึ่งตอนนี้ได้รับความนับถือเลื่อมใสจากผู้ศรัทธาเป็นอย่างสูงไว้หนึ่งฉบับ ในยุคนี้หนังสือถือเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ตอนออกเรือนนางจึงเก็บติดมือมาด้วย หากใช้อวยพรวันเกิดสวีฮูหยิน อีกสองสามวันนำไปเข้ากรอบสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
เรื่องที่นางกลัดกลุ้มคือการที่จูซื่อราวีนางเช้านี้ต่างหาก แม้นางอ้างวันเกิดของสวีฮูหยินต้านรับไว้ได้ ทว่าข้ออ้างนี้ก็ใช้การได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น รอจนวันเกิดของสวีฮูหยินผ่านพ้นไปแล้ว ถึงตอนนั้นหากมารดาของเว่ยเซ่ายังจ้องเล่นงานนางต่อ นางควรจะรับมืออย่างไรดีเล่า
พอนึกว่าวันเวลาต่อแต่นี้จะต้องมีชีวิตเพื่อสู้รบตบมือกับมารดาของเว่ยเซ่าเยี่ยงนี้ไปตลอด เสี่ยวเฉียวก็พลันรู้สึกว่าชีวิตไร้รสชาติ เบื้องหน้าสายตาเห็นแต่ความมืดมน