บทที่ 4
ทว่ากลับพบว่าเป็นแค่ยันต์คุ้มกายตามปกติใบหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงชำเลืองมองเยี่ยหมัวมัวคราหนึ่ง
เดิมทีเยี่ยหมัวมัวกำลังรอดูบุตรสาวสกุลเจินเสียหน้าด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
ต้องรู้ว่าหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่ง หากถูกคนพบว่าพกยันต์ขอบุตรติดตัวเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร นึกไม่ถึงว่าที่ค้นออกมากลับมีแค่ยันต์คุ้มกายใบหนึ่ง เมื่อเห็นซ่งฮูหยินมองมา เยี่ยหมัวมัวก็พยายามส่งสายตาสุดชีวิต ลอบบอกว่าบุตรสาวสกุลเจินจะต้องเก็บไปแล้วเป็นแน่ ไม่ได้พกติดตัวไว้เท่านั้น
ซ่งฮูหยินจับจุดอ่อนของเจินจยาฝูไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงเอ่ยชื่นชมไปหลายประโยค เก็บเหอเปาให้เรียบร้อยแล้วยื่นส่งคืนให้เจินจยาฝู
เจินจยาฝูรับมาแล้วใส่ของลงไปราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมิ่งซื่อที่อยู่ด้านข้างผ่อนลมหายใจออกมา ลอบร้องในใจว่า…โชคดียิ่ง ก่อนรีบหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาพลางยิ้มเอ่ย “บุตรสาวข้าไม่ค่อยรู้ความ โชคดีที่ฮูหยินเมตตา ต้องการรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลข้ารู้สึกซาบซึ้งใจ ก่อนออกเดินทางได้กำชับให้ข้าพกของฝากท้องถิ่นบางอย่างมา ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ถือเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่ได้เรียกให้บ่าวรับใช้ยกสิ่งของเข้ามาแล้ว สิ่งนี้คือรายการสิ่งของ ฮูหยินลองดูเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อสืบข่าวมาได้ว่าซ่งฮูหยินเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ จึงเตรียมของขวัญจำนวนมากมาเพื่อประจบเอาใจโดยเฉพาะ ปากเอ่ยว่าเป็นของฝากท้องถิ่น แต่ความจริงสิ่งที่เขียนอยู่บนรายการทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งของราคาแพง หลายอย่างในนั้นยิ่งเป็นสมบัติชั้นเลิศ
ซ่งฮูหยินรับมามองดูคราหนึ่ง ในใจถึงได้รู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง คิดว่าสกุลเจินยังนับว่ามีความคิดอ่านอยู่ เมื่อได้รับผลประโยชน์ดีๆ สีหน้าก็พลอยดูดีขึ้นบ้างแล้ว
เมิ่งซื่อสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายอยู่ด้านข้าง รับรู้ว่าซ่งฮูหยินน่าจะพอใจแล้วถึงได้ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะนึกถึงเฉวียนเกอเอ๋อร์ขึ้นมาได้ ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถามถึงเฉวียนเกอเอ๋อร์สักคำคงดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง จึงยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่นี้ไปเยี่ยมญาติที่สกุลเผย เดิมยังคิดว่าจะได้พบเฉวียนเกอเอ๋อร์เสียอีก กลับได้ยินว่าเขาอยู่กับทางฮูหยิน ตอนนี้เฉวียนเกอเอ๋อร์น่าจะโตขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลข้าตั้งใจไปขอแม่กุญแจทองคำมงคลมาให้เฉวียนเกอเอ๋อร์โดยเฉพาะ ทั้งให้ภิกษุที่มีชื่อเสียงปลุกเสกให้ เพื่อจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ให้ร่ำรวยมั่งคั่งและมีอายุยืนยาว” เอ่ยจบก็นำของออกมา
ซ่งฮูหยินเองก็ตระหนักว่าเรื่องงานแต่งของสกุลเผยกับสกุลเจินได้พูดคุยกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ้ำก่อนหน้านี้ตนเองยังเห็นด้วยและยังรับอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวบุญธรรม มาวันนี้ต่อให้นางไม่พอใจหญิงสาวสกุลเจินเพียงใดก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาขัดขวางได้อีก มิสู้เรียกเฉวียนเกอเอ๋อร์ออกมา อาศัยโอกาสนี้ทำให้หญิงสาวสกุลเจินได้รู้จักหนักเบา รอนางแต่งเข้ามาแล้ว ตนเองค่อยหาเหตุผลส่งหมัวมัวที่เชื่อถือได้เข้าไปจับตามองไว้ คาดว่านางคงเล่นลูกไม้อะไรออกมาไม่ได้มากนัก
ซ่งฮูหยินตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ยรับคำ “ลำบากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจ้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้คนไปพาตัวเด็กมาจะได้เจอกัน”
เมิ่งซื่อย่อมเอ่ยว่าดี ซ่งฮูหยินจึงสั่งการลงไป
เพียงไม่นานทางเดินข้างนอกก็มีเสียงหัวเราะสดใสของเด็กดังมา ได้เห็นสาวใช้อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีผู้หนึ่งมือและขาวางอยู่บนพื้น บนหลังมีเด็กชายอายุสี่ห้าขวบนั่งอยู่ กำลังคลานเข้ามาในนี้
เด็กผู้นั้นก็คือเฉวียนเกอเอ๋อร์ เดิมทีเกิดมาก็นับว่ารูปโฉมสะอาดสะอ้าน แต่เพราะกินมากไปรูปร่างจึงอวบอ้วน น้ำหนักตัวเกินไปบ้าง เขานั่งอยู่บนหลังสาวใช้ผู้นั้น รอบข้างมีสาวใช้หลายคนตามมา คอยประคองเขาเอาไว้เพื่อระวังไม่ให้ตกลงมา สาวใช้บนพื้นผู้นั้นคลานจนเหนื่อยหอบ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ในมือเฉวียนเกอเอ๋อร์ถือกิ่งหลิวกิ่งหนึ่งโบกสะบัดไปมาส่งเดช ปากส่งเสียงดังคล้ายกำลังขี่ม้า “ไปๆ!”
เฉวียนเกอเอ๋อร์ขี่คนเข้ามาทั้งอย่างนี้
เจินจยาฝูมองเขา มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทว่าแววตากลับเย็นชายิ่ง