เดิมทีซ่งฮูหยินไม่ยอมให้ซินฮูหยินทราบเรื่องนี้ ทว่ากลับปิดได้ยากนัก เนื่องจากวันต่อมาสกุลเผยส่งคนมารับเฉวียนเกอเอ๋อร์กลับแล้ว ซ่งฮูหยินปิดบังต่อไปไม่ได้ จึงบอกเหตุผลออกมา ทั้งตนเองก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก บอกว่าอยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเอง
ซินฮูหยินเร่งรีบมาอย่างร้อนใจทันทีที่ได้ข่าว รับหลานชายกลับไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ซ่งฮูหยินไม่มีอารมณ์มาหาเรื่อง ทั้งยังไม่วางใจในอาการของเฉวียนเกอเอ๋อร์ จึงส่งคนไปยังสกุลเผยรอบแล้วรอบเล่าเพื่อสืบข่าวเรื่องอาการป่วยของเขา เมื่อได้รู้ว่าซินฮูหยินชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวต่อหน้าบ่าวหญิงอาวุโสสกุลตนก็รู้สึกโมโหไม่น้อย ทว่าหนนี้เฉวียนเกอเอ๋อร์เกิดเรื่องที่ทางตนเอง นางเองก็แสดงอำนาจอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ข่มกลั้นโทสะ จวบจนเย็นวันที่สอง ในที่สุดเมื่อได้รู้ว่าอาการบวมของหลานชายเกือบหายดี ซ่งฮูหยินถึงโล่งอกได้เสียที
เยี่ยหมัวมัวกำลังลอบคิดว่าหลายเดือนมานี้ตนเองเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่เฉวียนโจว ได้รับความลำบากมาไม่น้อย สุดท้ายสกุลเจินกลับมอบเงินแค่ยี่สิบตำลึงให้นาง โทสะในใจยากจะสงบได้จริงๆ ถึงขั้นเริ่มมองการยกเลิกงานแต่งงานครั้งนี้เป็นภารกิจหนึ่งของตน นางจึงคอยใส่ไฟอยู่ข้างหูซ่งฮูหยินไม่หยุด บอกว่าบุตรสาวสกุลเจินเพิ่งมาเยี่ยมเยือนแท้ๆ ไฉนเฉวียนเกอเอ๋อร์ที่เดิมทีอาการยังดีๆ อยู่จึงเกิดอาการประหลาดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้รับความเจ็บปวดไม่น้อยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าดวงชะตาขัดแย้งกัน…ข่มกัน
หนึ่งในเรื่องที่ซ่งฮูหยินถนัดที่สุดคือการพาลโกรธ เมื่อมีเยี่ยหมัวมัวคอยยุแยงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นึกสงสัยขึ้นมาครามครัน หลังผ่านไปอีกหนึ่งคืน มาถึงวันต่อมาผู้ดูแลคลังเก็บของมาแจ้งว่าในจำนวนของที่ถูกส่งมาจากสกุลเจินเมื่อสองวันก่อน ไข่มุกและหยกจำนวนหนึ่งที่เดิมควรจะล้ำค่าที่สุดนั้น ตอนนำเข้ามาในคลังเก็บของกลับพบว่าสีสันของพวกมันไม่งดงามมากพอ แม้จะเป็นของล้ำค่าเช่นกัน แต่ไม่ใช่ของชั้นเลิศแน่ ด้วยเหตุนี้ราคาจึงตกลงไปมาก ถามว่าควรจะจัดการเช่นไรดี
ซ่งฮูหยินนึกถึงท่าทีเคารพนบนอบยามเมิ่งซื่อมาหาตนเมื่อสองวันก่อน คาดว่าสกุลเจินเองก็ไม่น่าจะมีความกล้าเพียงนั้น นำของปลอมมาแทนของจริงเพื่อตบตานาง คิดว่านี่น่าจะเป็นของดีที่สุดที่สกุลพวกเขานำออกมาได้แล้ว นางพลันเกิดความรู้สึกดูถูกอย่างยิ่ง ถุยน้ำลายก่อนเอ่ย “ข้ายังคิดว่าสกุลเจินจะร่ำรวยมากเสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เอง แม้แต่การแต่งงานเช่นนี้สกุลเผยยังกล้ารับไว้ เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ยากจนไปมากเพียงใดแล้ว!”
สามวันผ่านไปเพียงพริบตา วันนี้ก็คืองานวันเกิดอายุครบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยจวนเว่ยกั๋วกงแล้ว
แม้จวนเว่ยกั๋วกงจะตกอับ แต่ชื่อเสียงของตระกูลยังคงอยู่ ผู้เฒ่าเว่ยกั๋วกงมีความดีความชอบเป็นที่ประจักษ์ชัด ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้งขั้นหนึ่ง บุตรสาวเองก็เคยเป็นฮองเฮาคนแรกของรัชศกเทียนสี่ ศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา เมื่อมาถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปี ภายในวังยังส่งขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้มาแต่เช้า พระราชทานข้าวของให้ตามธรรมเนียม บ่งบอกถึงพระเมตตาของโอรสสวรรค์ เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ภายในเมืองหลวงที่เดิมเคยไปมาหาสู่กับจวนเว่ยกั๋วกงก็ทยอยกันมาอวยพร ในวันนี้ประตูใหญ่ของจวนเว่ยกั๋วกงเปิดออกกว้าง ตกแต่งหลากสีสันทั้งในและนอก มองดูแล้วคล้ายได้ฟื้นตัวกลับมา มีเค้าของความรุ่งโรจน์เฉกเช่นในอดีต
วันนั้นหลังกลับมาจากสกุลซ่ง ไม่กี่วันนี้เจินจยาฝูไม่ได้ออกไปที่ใดเลยสักก้าว เมิ่งซื่อได้ยินมาว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์ป่วย ถูกรับกลับมาจากสกุลซ่งแล้ว แม้ในใจนางจะรู้สึกไม่ชอบเด็กคนนี้เพียงใด แต่ก็ไปเยี่ยมอาการมารอบหนึ่ง หลังกลับมาก็เล่าให้เจินจยาฝูฟังว่า ‘ใกล้จะหายดีแล้ว เพียงแต่เขายังเกาตนเองจนเป็นแผลอยู่หลายจุด บางทียังร้องไห้โวยวายอยู่บ้าง’
ในตอนนั้นเจินจยาฝูเพียงเม้มปากไม่พูดอะไร เมิ่งซื่อเองก็มีเรื่องในใจมากมาย จึงปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งอย่างนี้ ไม่ยกมาพูดอีก