หลายวันมานี้ซินฮูหยินยุ่งวุ่นวายราวถูกไฟเผา
หลายปีที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยจัดงานวันเกิดมาก่อน เมื่อมาถึงวันก็แค่กินบะหมี่อายุยืนสักมื้อเท่านั้น ปีนี้อายุครบหกสิบปี ภายใต้คำขอร้องของบรรดาลูกหลาน ในที่สุดก็ยอมอนุญาตให้จัดงาน
การเตรียมงานวันเกิดย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของซินฮูหยิน อีกทั้งนางยังรอคอยข่าวจากกรมขุนนางมาโดยตลอด ในที่สุดไม่กี่วันก่อนนางก็ได้ยินคำสั่งแต่งตั้งที่เฝ้ารอ เผยซิวจื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางลำดับหลักขั้นหก ตำแหน่งนายกองเฟิ่นเวยที่ว่างลงไป
แม้จะเป็นตำแหน่งที่ได้รับมาจากความดีความชอบของบรรพบุรุษ แต่หน้าที่กลับไม่โดดเด่น ไม่สามารถเทียบได้กับยามที่สามียังมีชีวิตอยู่ กระนั้นสถานการณ์ในทุกวันนี้แตกต่างจากอดีตนานแล้ว ขุนนางผู้ที่มีความดีความชอบในการก่อตั้งแคว้นได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเลี่ยโหว* จวบจนปัจจุบันก็ผ่านมาหลายรุ่นแล้ว ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรลูกหลานที่อาศัยความสามารถของตนเองสร้างความดีความชอบได้นั้นมีอยู่ไม่มาก ที่เหลืออยู่จึงได้แต่อาศัยความดีความชอบของบรรพบุรุษทั้งนั้น ตำแหน่งขุนนางหลักๆ ในราชสำนักก็มีแค่ไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น ทั้งตำแหน่งยังถูกจำกัดเอาไว้ ไม่ได้เพียงพอสำหรับทุกคน อิงจากสถานการณ์ในตอนนี้ของจวนเว่ยกั๋วกง การที่เผยซิวจื่อยังสามารถได้รับตำแหน่งที่ว่างลงนี้ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว
ตามหลักแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องดี ช่วยเสริมหน้าตาได้ในงานวันเกิด ควรจะเฉลิมฉลองจึงจะถูก แต่บ้านรองกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว พูดกันถึงที่สุดก็มีปัญหาจากคำว่า ‘เงิน’ นั่นเอง สกุลเผยยังไม่ได้แบ่งสมบัติกัน เผยซิวจื่อได้รับตำแหน่ง แม้จะบอกว่าสกุลซ่งเองก็ให้ความช่วยเหลือ แต่เงินที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อผู้คนไม่อาจขาดไปแม้แต่นิดเดียว เพื่อเรื่องนี้เงินทั้งหมดที่ใช้ออกไปจึงมีประมาณสองพันตำลึง ด้วยสกุลเผยมีการกำหนดเอาไว้ก่อนนานแล้วว่าขอแค่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนความก้าวหน้าหรือค่าเล่าเรียนของบุตรหลานในตระกูล ล้วนนำเงินจากบัญชีส่วนกลางมาใช้ได้ เงินหายไปจากส่วนกลางสองพันตำลึงเช่นนี้ บ้านรองย่อมรู้สึกปวดใจ แต่ติดที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ เบื้องหน้าย่อมไม่กล้าแสดงออกชัดเจนเกินไป แต่พอคล้อยหลังยากจะไม่กล่าวโทษ เมื่อคำพูดลอยไปเข้าหูซินฮูหยินก็กลายเป็นเรื่องให้โมโหอีกครั้ง
นอกจากนี้คนสกุลเจินเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว การหารือเรื่องงานแต่งก็ใกล้เข้ามาทุกที ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น ยิ่งจำเป็นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาให้ชัดเจน ซึ่งซินฮูหยินสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปมาก ยุ่งจนหัวหมุน ยังไม่ทันได้พักหายใจเลยด้วยซ้ำ เมื่อสองวันก่อนเฉวียนเกอเอ๋อร์ผู้เป็นหลานชายกลับมีอาการไม่ดีเช่นนี้ขึ้นมาอีก
เช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมา กระพุ้งแก้มข้างหนึ่งของซินฮูหยินก็เป็นร้อนในขึ้นมาแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องใหญ่ในวันนี้ของจวนเว่ยกั๋วกง ตนเองที่มาจากบ้านใหญ่เป็นผู้ดูแล ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว จึงกระตุ้นความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ยุ่งราวกับลูกข่าง ช่วงกลางวันได้ยินว่าเมิ่งซื่อมาถึงแล้ว นางไม่ทำเหมือนการพบกันครั้งแรกที่ชักช้า หนนี้รีบเดินออกไปต้อนรับพาเข้ามาข้างในอย่างกระตือรือร้นทันที
เมิ่งซื่อมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ แม้เพิ่งมาได้แค่สามสี่วัน แต่เพราะเคยมาเยือนสกุลเผยหลายครั้ง นางจึงพอจะสัมผัสได้ว่าทั้งสองบ้านเหมือนจะมีเรื่องขัดแย้งกัน เดิมนางกับฮูหยินรองนับได้ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทสนม ช่วยเหลือกันและกันมาโดยตลอด ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องกระอักกระอ่วนของลูกๆ ขึ้นมา การเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ย่อมให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากในอดีตอย่างมาก นับประสาอะไรกับนางที่ยังเป็นคนนอกผู้หนึ่ง จึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้เสีย ภายนอกแสดงออกเหมือนปกติ ยามนี้มาถึงแล้วก็เพียงพยายามช่วยเหลือเรื่องเล็กเรื่องน้อยให้มากที่สุด นางเองก็เริ่มยุ่งขึ้นมาเช่นกัน