เจินจยาฝูถูกพาไปยังห้องรับรอง ให้อนุผู้หนึ่งของเผยเฉวียนผู้เป็นลุงเขยอยู่เป็นเพื่อน
สถานการณ์เช่นในวันนี้มีเรื่องให้ทำมากมายนัก เดิมอนุผู้นี้เองก็ต้องช่วยเหลืองานต่างๆ เพียงแต่ไม่กี่วันก่อนลื่นล้มจนข้อเท้าแพลงพอดี เดินเหินไม่สะดวก ได้แต่พักรักษาตัวอยู่ในห้อง ทั้งสองคนจึงทำงานเย็บปักกันไปพูดคุยสัพเพเหระกันไป ในระหว่างที่พูดคุยหัวเราะกันนั้นสาวใช้ข้างกายเมิ่งซื่อผู้หนึ่งก็มาหา เรียกให้เจินจยาฝูไปยังส่วนหน้า บอกว่ามีแขกที่คุ้นเคยผู้หนึ่งมา เมิ่งซื่อเรียกให้นางไปคารวะ
เจินจยาฝูจึงวางงานเย็บปักลงแล้วพาถานเซียงออกไปด้วยกัน นางรั้งอยู่ข้างกายเมิ่งซื่อสักพัก หลังพบแขกเสร็จก็กลับมาอีกครั้ง ตอนที่เดินผ่านประตูชั้นใน นางมองเห็นเผยซิวจื่อยืนอยู่บนทางที่ตนเองเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้ได้แต่ไกล ข้างกายเขาไร้ผู้ติดตาม เพียงแค่ชะเง้อมองมาทางนี้ไม่หยุด
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เมื่อวานเขามาเยือนคฤหาสน์สกุลเจิน แต่นางหลบเลี่ยงไม่พบ คิดว่ายามนี้ที่เขาอยู่ที่นั่นก็คงกำลังรอตนเอง ด้วยไม่อยากเจอเขาตามลำพัง นางจึงกลับตัวเดินเลี่ยงไปทางสวนด้านหลังทันที
เพราะว่าวันนี้ที่ด้านหน้ายุ่งวุ่นวาย ภายในสวนจึงไม่ค่อยเห็นผู้ใดนัก หลังเดินเล่นไปเรื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านป่าไผ่ผืนเล็กแห่งหนึ่งก็มองเห็นสะพานหินอยู่ด้านหน้า
กับเส้นทางของที่นี่นางย่อมไม่มีทางไม่คุ้นเคย นึกขึ้นได้ว่าตรงสะพานหินนั้นมีทางเดินสายหนึ่ง แม้จะอ้อมอยู่บ้าง แต่สามารถเดินเลี่ยงเผยซิวจื่อกลับไปได้ จึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางนั้น
หลายปีมานี้สถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านมานัก ต้นไม้ข้างทางออกสีเขียวปนเหลืองกระดำกระด่าง หินใต้เท้ามีตะไคร่เขียวขึ้นมา บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ร่วง สภาพเงียบเหงาอ้างว้างปรากฏอยู่ในสายตา
ก่อนที่เจินจยาฝูจะเดินผ่านเรือนแห่งหนึ่งข้างป่าไผ่ ก็มองเห็นบ่าวหญิงอาวุโสสองคนจับไม้กวาดปัดกวาดอยู่ตรงนั้น ทำความสะอาดไปพลางพูดคุยกันไปพลาง คำพูดลอยมาตามสายลมขาดๆ หายๆ คล้ายกำลังพูดถึงตนเองอยู่ ฝีเท้านางจึงหยุดชะงักลง
“…สกุลเจินใกล้จะได้แต่งงานแล้ว เอาคุณหนูมาแต่งกับซื่อจื่อ”
บ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “นับว่าได้ปีนป่ายขึ้นที่สูงแล้ว”
“เจ้าเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่ปี จะไปรู้อะไรกัน”
บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนกล่าวต่อ “แต่ก่อนตอนที่คุณหนูสกุลนั้นยังเล็ก เคยเห็นพามาที่จวนครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องส่งคนมาแต่งงานในสักวัน เพียงแต่ยามนั้นหลงคิดว่าสกุลนั้นคิดจะแต่งกับคุณชายสาม บัดนี้ถึงขั้นปีนป่ายไปถึงซื่อจื่อ นี่ก็เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงจริงๆ…”
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านไป เสียงใบไผ่ดังแซ่กซ่ากลบเสียงของบ่าวหญิงอาวุโส
ถานเซียงแสดงสีหน้าไม่พอใจ ตั้งใจจะเดินเข้าไปเผยโฉม ทว่าเจินจยาฝูกลับส่ายศีรษะ แสดงท่าทีให้เดินแยกไปอีกทางที่เป็นป่าไผ่ แต่กลับได้ยินเสียงสนทนาของบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองดังลอยมาอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ เรือนแห่งนี้แม้แต่ตอนกลางวันยังอึมครึม ยามกลางคืนเกรงว่าคงมีกระทั่งผีโผล่ออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ที่ส่วนหน้ามีงานยุ่ง ต้องส่งคนไปทำงาน ข้าเองก็คงไม่มาทำงานนี้…”
“ฮูหยินเองก็ลำบาก หลายปีมานี้น่าจะรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด ข้ามาอยู่ที่นี่ไม่กี่ปี ทุกปีเมื่อมาถึงช่วงวันนี้ฮูหยินก็จะต้องสั่งให้คนมาปัดกวาดที่นี่เสมอ ดูท่าจะเตรียมให้คุณชายใหญ่กลับมาอวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า แต่เคยเห็นกลับมาเมื่อไรกัน เหล่าจ้าว ข้าได้ยินว่าปีนั้นคุณชายใหญ่ถูกปลดจากซื่อจื่อแล้วถูกขับไล่ออกไปหรือ”
เหล่าจ้าวผู้นั้นส่งเสียงชู่ กดเสียงต่ำลง ทว่าเสียงยังคงลอยตามลมมาให้ได้ยินชัดบ้างเบาบ้าง