“…ช่วงไว้ทุกข์ของนายท่านกั๋วกงยังไม่ทันพ้นเลย ไม่น่าดูอยู่บ้างจริงๆ…ปกติแล้วก็มองไม่ออกสักนิด…อี๋เหนียงผู้นั้นไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว ตอนดึกมาที่นี่ ผูกคอตายอยู่บนกิ่งต้นที่เจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ ต้นนี้ ตอนนั้นข้าวิ่งมาดู ใบหน้านางม่วงคล้ำ ลิ้นห้อย ทำข้าหวาดผวาจนนอนไม่หลับไปหลายคืน…”
“มารดาเถอะ! ไฉนเจ้าไม่รีบพูด มิน่าที่นี่ถึงได้เย็นๆ!”
บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนตกใจจนใบหน้าซีดเผือด สะดุ้งโหยง รีบหลบเลี่ยงไปไกลๆ ก่อนจะหันตัวกลับมากราบไหว้ทางต้นไม้ ปากพึมพำบทสวดไม่หยุด
เจินจยาฝูรู้ว่าแต่ก่อนเรือนแห่งนี้เป็นที่อยู่ของเผยโย่วอันผู้เป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ หลายปีมานี้ถูกปล่อยว่างเอาไว้ตลอด ปกติประตูจะปิดสนิท เมื่อครู่ตอนเดินผ่านมาที่นี่บังเอิญได้ยินประโยคนินทาของบ่าวหญิงอาวุโสสองคนนี้เข้าพอดี หากพูดถึงเรื่องนางเพียงคนเดียวก็ช่างเถอะ นางเองก็คร้านจะถือสาด้วย
ท่านย่าของตนมีความตั้งใจเช่นนี้มานานแล้วจริงๆ ไม่ผิดที่จะถูกผู้อื่นนินทาลับหลังเช่นนี้
แต่ต่อมาบ่าวหญิงอาวุโสสองคนนี้กลับวิจารณ์ถึงเรื่องของเผยโย่วอันขึ้นมาต่อ นี่ทำให้เจินจยาฝูอดนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่ได้ ยามนั้นศึกสงครามวุ่นวาย ตนเองถูกจับขังอยู่ในคุกตัวคนเดียว ระหว่างที่สิ้นหวังและหวาดกลัวกลับได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่เดิมทีไม่ได้มีความคาดหวังอันใด ความรู้สึกประหนึ่งตัวห้อยอยู่นอกหน้าผา แต่ในยามสิ้นหวังกลับได้รับมือข้างหนึ่งยื่นมาช่วยเหลือเช่นนั้น จวบจนยามนี้ก็ยังยากจะลืมเลือน ต่อให้สุดท้ายตนเองจะถูกส่งกลับไปอยู่ในเงื้อมมือเซียวอิ้นถังอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวภายหลัง คนละเรื่องกันแล้ว
บุรุษผู้นั้นทิ้งความประทับใจที่ดียิ่งให้กับนาง ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาช่วยเหลือในยามที่นางสิ้นหวังอย่างที่สุด แต่เป็นเพราะท่าทางและการวางตัวของเขาทำให้นางประทับใจอย่างลึกซึ้งด้วย
ภายหลังกระทั่งตอนที่เจินจยาฝูอยู่ในส่วนลึกของวัง ก็เคยได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับเขามาเช่นกัน
ในการพนันของสามองค์ชาย ผู้ชนะคนสุดท้ายคืออวิ๋นจงอ๋อง หลังขึ้นครองราชย์เปลี่ยนรัชศก จากความดีความชอบที่เผยโย่วอันสร้างเอาไว้ในสงครามก่อนหน้ารวมกับความสำคัญที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีต่อเขา ความมั่งคั่งและชื่อเสียงสามารถได้มาง่ายๆ เดิมทีเขาสามารถเข้ารับตำแหน่งขุนนางสำคัญได้ แต่หลังผ่านไปไม่นาน เริ่มจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยจากโลกนี้ไปก่อน หลังจากนั้นไม่นานพวกทูเจวี๋ย รุกรานชายแดนเข้ามาอีกครั้ง เขาจึงขอออกจากเมืองหลวงด้วยตนเอง อาศัยตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อคอยปกปักรักษาชายแดน
ได้ยินว่าในตอนนั้นแม้สถานการณ์ความไม่สงบของทูเจวี๋ยจะอันตรายเพียงใด แต่เมื่อพิจารณาจากสุขภาพของเขา สภาพอากาศนอกด่านก็ไม่เหมาะจะให้เขารั้งอยู่นาน เขาเองก็ไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่สามารถเรียกใช้งานได้เสียหน่อย เดิมทีสามารถส่งผู้อื่นไปแทนได้ แต่สุดท้ายยังคงเป็นเขาที่ออกจากเมืองหลวงอันโอ่อ่านี้ไปไกลถึงชายแดน รับตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อ คุ้มครองราษฎรบริเวณชายแดน ได้รับการยกย่องจากราษฎรอย่างมาก ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนอกด่าน จวบจนสุดท้ายก็ป่วยตายจากไปในตำแหน่งนั้น
ความจริงแล้วเจินจยาฝูรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้างว่าบุรุษเช่นนั้น ในยามเป็นเด็กหนุ่มจะกระทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นออกมา ยามนี้ได้ยินผู้อื่นพูดถึงก็รู้สึกบาดหูอยู่ไม่น้อย
เดิมทีนางกลับตัวเดินจากไปแล้ว แต่กลับหยุดฝีเท้าอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“…ได้ยินมาว่าเรื่องครั้งนั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโห เขาถูกโบยก่อนออกไป แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นงานวันเกิดใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า กระทั่งญาติที่ห่างแปดรุ่นยังมากันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นตัวเขา หลายปีนี้แม้แต่ข่าวคราวยังไม่เคยส่งมา เห็นได้ชัดว่าในใจยังนึกแค้นเคืองอยู่ เดิมทีพวกเราไม่ควรจะสอดปาก ตอนเป็นเด็กหนุ่มทำเรื่องเช่นนั้น บัดนี้อับอายที่จะกลับมาพบหน้าผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็มองออกว่าความกตัญญูของเขาเป็นเช่นไรแล้ว…”
ยามที่เหล่าจ้าวผู้นั้นอาศัยว่าตนเองอายุมากจนเที่ยวดูถูกดูแคลนผู้อื่นตรงนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เมื่อปิดปากหันหน้ากลับไปก็เห็นเจินจยาฝูพาสาวใช้ผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ นางนิ่งอึ้งไปทันควัน รีบวางไม้กวาดลงแล้วเดินเข้ามา ยิ้มรับเอ่ย “วันนี้ที่ส่วนหน้าคึกคัก คุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”