เมิ่งซื่อส่งต่อบัญชีที่จดบันทึกรายการเรียบร้อยแล้ว มองดูผู้ดูแลลงกลอนประตูคลังเก็บของและยื่นกุญแจมาให้ กว่าธุระจะเสร็จสิ้นก็เป็นยามจื่อแล้ว ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ยามนี้นางปวดเอวเมื่อยหลังแล้ว คิดถึงบุตรสาวที่ยังคงรอตนเองอยู่จึงรีบมุ่งมายังเรือนหลักทิศเหนือ เมื่อครู่ตอนที่ตนเองอยู่ที่คลังเก็บของ ที่แห่งนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายเพียงนี้ บุตรชายคนโตสกุลเผย เผยโย่วอันที่ออกจากบ้านไปนานหลายปีกลับมาโดยไม่คาดฝัน เฉวียนเกอเอ๋อร์อาการกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเพราะดึกมากแล้ว ตนเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ ดังนั้นจึงตามหาซินฮูหยิน พูดคุยกันไม่กี่คำก็พาเจินจยาฝูกลับบ้านไป
ในตอนที่เมิ่งซื่อบอกลาซินฮูหยิน เห็นท่าทางซินฮูหยินคล้ายจิตใจล่องลอยอยู่บ้าง อีกฝ่ายแค่ฝืนยิ้มแย้ม เอ่ยขอบคุณอย่างขอไปทีไม่กี่ประโยค แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะเดินมาส่งนางแต่อย่างใด เมิ่งซื่อรู้ว่าในใจซินฮูหยินเป็นห่วงเรื่องเฉวียนเกอเอ๋อร์ ย่อมไม่ถือสาที่ตนเองถูกละเลย
ระหว่างทางกลับบ้าน ยามนั่งอยู่ในรถม้า เมิ่งซื่อเพียงสนทนากับบุตรสาวถึงเรื่องที่ได้ยินได้เห็นในวันนี้ หลังพูดคุยไม่กี่ประโยคก็พูดไปถึงเผยโย่วอันที่กลับมาในคืนนี้
เมิ่งซื่อถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “เห็นได้ว่าคนเราไม่อาจทำผิดพลาด ผิดพลาดไปก้าวเดียวทำให้ผิดไปทุกก้าว ชื่อเสียงของเด็กคนนี้ในปีนั้น จวบจนปัจจุบันแม่ก็ยังจำได้ หากไม่ใช่เพราะเลอะเลือนไปชั่ววูบกระทำเรื่องเช่นนั้นออกมา บัดนี้ก็คงไม่ถึงขั้นไม่อาจกลับบ้าน ฮูหยินเองก็ลำบาก ปีนั้นตั้งครรภ์สิบเดือน คลอดครรภ์แฝดออกมา คนหนึ่งตายทันทีที่คลอด เหลือรอดแค่เขาคนเดียว สภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่คลอดออกมาแล้ว เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เดิมทีฮูหยินเองก็รักถนอมเขา แต่แม่ได้ยินว่าเด็กคนนี้แตกต่างกับบุตรชายบ้านอื่นตั้งแต่เล็กแล้ว ตัวเขาไม่ยอมใกล้ชิดฮูหยิน ภายหลังฮูหยินคลอดพี่รองเผยของลูก พี่รองเผยสนิทกับนาง ในฐานะมารดาย่อมต้องรักถนอมคนเล็กมากกว่าบ้าง…”
นางเล่าเรื่องราวเก่าๆ ของสกุลเผยที่กระทั่งตนเองก็จำไม่ได้ว่าไปฟังมาจากที่ใด ก่อนจะสัมผัสได้ว่าบุตรสาวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายมีเรื่องราวบางอย่างในใจ นางจึงหยุดพูด แล้วเอ่ยถามเจินจยาฝูว่า “ลูกคิดอะไรอยู่หรือ”
สายตาที่หันมามองในคืนนี้ของเผยโย่วอันทำให้เจินจยาฝูรู้สึกกระวนกระวายใจ
ใจหนึ่งนางก็สงสัยว่าบางทีเขาอาจรู้อะไร แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ แผนการนี้ของนางเรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ นางไม่เชื่อว่าเขาจะมองพิรุธอะไรออกได้
การชำเลืองมองมาครั้งนั้นของเขาอาจจะไม่มีเจตนาใด ล้วนแต่เป็นนางที่ร้อนตัว วิตกกังวลไปเองเท่านั้น
ตลอดทางที่กลับมาบ้าน เจินจยาฝูเอาแต่ปลอบใจตนเองเช่นนี้ไม่หยุด ทว่าความกระวนกระวายใจที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ขจัดไปไม่พ้น เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยถามคำถาม นางถึงได้สติกลับมา ช้อนสายตาขึ้น เห็นมารดามองพินิจนางอยู่ จึงพยายามฉีกยิ้มเอ่ย “ไม่ได้คิดอะไรเจ้าค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”
เมิ่งซื่อกอดบุตรสาวอย่างปวดใจ “ลูกพิงร่างมาที่แม่ก่อน หลับตาลงสักพักเถอะ หลังงานวันเกิดใหญ่วันนี้ไปก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คาดว่ารอจนเฉวียนเกอเอ๋อร์หายป่วย ทางด้านนั้นคงมาคุยเรื่องงานแต่ง ในเมื่อกำลังจะแต่งงาน หญิงสาวในห้องหออย่างลูกก็ไม่สะดวกจะเข้าออกที่นั่นอีก รอผ่านไปสองวันแม่จะไปเยี่ยมเฉวียนเกอเอ๋อร์เอง ลูกไม่จำเป็นต้องไปด้วย พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็พอ”
เจินจยาฝูไม่ตอบอะไร เพียงพิงร่างอยู่ในอ้อมกอดมารดาแล้วหลับตาลง
ผ่านไปสองวัน เนื่องด้วยมารยาทที่พึงมี เมิ่งซื่อจึงไปเยี่ยมเฉวียนเกอเอ๋อร์ด้วยตนเองจริงๆ
วิชาแพทย์ของเผยโย่วอันมีลักษณะเฉพาะตัว หนนี้เลือกรักษาตามวิธีของเขา เพิ่งผ่านไปสองวัน อาการป่วยของเฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ดีขึ้นมากแล้ว เดิมทีนี่นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่เมิ่งซื่อกลับได้รับความอัดอั้นตันใจ นางเพิ่งจะมาถึงก็ได้ยินข่าวลือจากหมัวมัวผู้ดูแลที่นางสนิทด้วย บอกว่าเมื่อสองวันก่อนตอนที่ซ่งฮูหยินได้ข่าวว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์อาการป่วยกำเริบอีกครั้งก็รีบวิ่งมาดูอาการแต่เช้า ภายหลังพูดคุยบางอย่างกับซินฮูหยินอยู่ในห้อง รอซ่งฮูหยินจากไป สองวันมานี้ก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายอย่างลับๆ โดยซ่งฮูหยินสงสัยว่าคุณหนูสกุลเจินกับเฉวียนเกอเอ๋อร์มีดวงชะตาขัดกัน มิฉะนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้เฉวียนเกอเอ๋อร์ที่อยู่ดีๆ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด หนนี้เพียงแค่เจินจยาฝูมาถึง พบหน้ากันไปสองครั้ง เฉวียนเกอเอ๋อร์ก็ป่วยเป็นโรคประหลาดทั้งสองครั้งแล้ว
เดิมทีตัวซินฮูหยินเองไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น เมื่อได้ยินซ่งฮูหยินเอ่ยเตือนเข้าก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย วันนี้ได้เจอเมิ่งซื่อ ท่าทีจึงกลับไปเย็นชาอีกครั้ง เมิ่งซื่อนั่งอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ขอตัวกลับแล้ว