นางรู้แค่ว่าหากเฉวียนเกอเอ๋อร์ได้กลิ่นต้งหลงเหน่าแล้วจะไม่สบาย ผ่านไปไม่กี่วันก็จะค่อยๆ หายดีเอง แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้ต้งหลงเหน่ายังเป็นยาสมุนไพรด้วย และอาจทำให้คนถึงตายได้
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
แต่มาถึงตอนนี้ เจินจยาฝูไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว นางจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อนาง ถึงขั้นชักนำให้เขาช่วยตนเอง อย่างน้อยเขาจะทำแผนการของนางล้มเหลวไม่ได้
เจินจยาฝูแสดงสีหน้าร้อนใจออกมา ส่ายหน้าไม่หยุด “ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ คลังเก็บของในตระกูลข้า เครื่องหอมจะแบ่งแยกประเภทจัดวางไว้ ปกติข้าใช้หลงเสียนมาโดยตลอด หนนี้เป็นเพราะต้องเดินทางมาเมืองหลวง ก่อนออกเดินทางมาพบว่าตลับเครื่องหอมตลับเดิมใกล้จะหมดแล้ว จึงสั่งให้คนไปเอาตลับใหม่มา ยามนั้นเร่งรีบ บางทีบ่าวรับใช้ที่คลังเก็บของอาจจะหยิบผิด ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ!” นางเบิกตากว้างมองเขา “หรือว่า…พี่ใหญ่เผยคิดว่าข้าจงใจทำร้ายเฉวียนเกอเอ๋อร์หรือเจ้าคะ”
นางมองไปยังเผยโย่วอันที่คล้ายจะไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ น้ำเสียงค่อยๆ แฝงอาการสะอื้นด้วยความน้อยใจ
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยมาเยือนจวนเว่ยกั๋วกงอยู่หลายครั้ง แต่ยามนั้นเฉวียนเกอเอ๋อร์ยังไม่เกิดมา หรือต่อให้มาแล้วก็ไม่ได้พบเพราะว่าเขายังเด็กมากๆ อีกอย่าง สามปีมานี้ข้าก็อยู่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อที่เฉวียนโจวมาโดยตลอด ต่อให้ข้ารู้ว่าต้งหลงเหน่าไม่ดี แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์ไม่อาจสัมผัสมัน”
นางก้มหน้าลง กัดริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยอะไรอีก กัดจนริมฝีปากที่น่าสงสารกลายเป็นสีซีดขาวขึ้นแล้ว คล้ายพยายามอดกลั้นต่อน้ำตาที่ต้องการทะลักออกมาอย่างมาก ทว่าสุดท้ายน้ำตาหยดหนึ่งก็ยังคงร่วงหยดลงมา ตกลงมาบนพื้นด้านหน้าเท้านางเสียงดังแหมะ
เจินจยาฝูเบี่ยงหน้าไปอีกทาง ยกมือขึ้นเช็ดปลายหางตาลวกๆ
เมื่อครู่ตอนที่นางพูดอยู่ เผยโย่วอันจับจ้องนางอยู่โดยตลอด สีหน้าเขาเฉยชา คล้ายกำลังประเมินระดับความจริงในคำพูดของนาง ก่อนเขาจะเลี่ยงสายตาไป ไม่มองท่าทีอยากร้องไห้ของนางอีก เพียงเอ่ยว่า “ข้าเองก็คิดว่าเจ้าไม่น่าจะตั้งใจ ไม่ต้องร้องแล้ว”
แม้น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่ฟังดูแล้วก็น่าจะเชื่อนางจริงๆ ยามนี้กำลังเอ่ยปลอบนางแทนด้วย
เจินจยาฝูแค่คิดจะร้องไห้ก็ร้องได้เลย ไม่นับว่ายากแต่อย่างใด ขอแค่คิดถึงบิดาที่จากไป คิดถึงช่วงเวลาสุดท้ายเมื่อชาติก่อน ดวงตานางก็จะร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เดิมทีแค่ต้องการร้องไห้ให้เขาเห็นเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเขาเอ่ยปลอบตนเอง จู่ๆ นางก็ไม่อาจคุมความรู้สึกของตนได้อีก ในใจมีแต่รู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด ก้มหน้าลงเงียบๆ หยาดน้ำตาร่วงเปาะแปะลงมาไม่หยุด
ใบหน้าที่เดิมทีไม่แสดงสีหน้าอะไรมาโดยตลอดของเผยโย่วอันเริ่มเผยความไม่สบายใจขึ้นมา หันมองนางหลายครั้ง บีบมือและคลายออกซ้ำๆ ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็เดินเข้าไปใกล้ หยุดอยู่หน้าธรณีประตู ก้มหน้าลงเล็กน้อยมองนาง เอ่ยเสียงเบา “เลิกร้องได้แล้ว ข้าเชื่อเจ้า มิฉะนั้นก็คงไม่ฝากอวี้จูไปเตือนเจ้า”
เอ่ยจบ เขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “เจ้าลองคิดดูสิ”
เผยโย่วอันโน้มตัวเข้าไปใกล้เจินจยาฝูมากขึ้น ใกล้จนนางคล้ายสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่มาจากร่างของเขา ราวกับเป็นไออุ่นของแสงแดดสีทองในฤดูหนาวที่ทอส่องลงมาจากหลังคาโค้ง
นางหันหลังกลับ ก้มหน้าลงเช็ดคราบน้ำตา รอจนอารมณ์มั่นคงแล้วถึงได้หันกลับมา เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณพี่ใหญ่เผยที่ยอมเชื่อข้าเจ้าค่ะ”