บทนำ
ตอนที่เจินจยาฝูถูกฝังเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดี นางจดจำภาพดอกพุดตานที่เบ่งบานงดงามเต็มอุทยานหลวงในวันนั้นได้อย่างชัดเจน ยามทอดสายตามองจากที่ไกลๆ ราวกับมีอาทิตย์อัสดงใจกลางอุทยาน
ภาพเหตุการณ์ในตอนบ่ายวันนั้น เจินจยาฝูก็จดจำได้ชัดเจนยิ่งเช่นกัน
นางไม่ได้พบฮ่องเต้มาหลายวันแล้ว คนในวังล้วนพูดกันว่าฮองเฮาอยู่ข้างกายฝ่าบาท คอยเฝ้าดูแลพระอาการอยู่ตลอดเวลาจนไม่ได้พักผ่อน
ยามเจินจยาฝูเข้าไปยังฝ่ายใน ได้พบจางฮองเฮาผู้มีเปลือกตาบวม สีหน้าหม่นหมอง ก่อนจากมาพระนางตรัสกับนางว่าฮ่องเต้เรียกหา ให้นางคอยปรนนิบัติพระองค์ดีๆ
ฮองเฮาตรัสด้วยสีหน้าเปี่ยมพระเมตตา เหมือนดั่งที่ผ่านมาเสมอ
ท่ามกลางผืนม่านสีเหลืองสว่างที่ทิ้งตัวลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า กลิ่นเครื่องหอมและยาสมุนไพรผสมผสานกันลอยตลบอบอวลไปทั่ว หน้าต่างตำหนักทุกบานล้วนปิดสนิท ด้านในส่วนลึกของตำหนักมีเพียงแสงสลัวและบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสมือนมีกลุ่มเงาสีดำกลืนกินนางเข้าไปทั้งร่าง
เจินจยาฝูคุกเข่าเบื้องหน้าพระแท่นบรรทมนิ่งไม่ไหวติง เวลาผ่านไปนางก็อยู่เช่นนี้มานานครึ่งก้านธูป* แล้ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบปี ฮ่องเต้ต้าเว่ยได้ผลัดเปลี่ยนยุคสมัยไปถึงสี่ครั้ง จากรัชศกเทียนสี่ เฉิงหนิง หย่งซี มาจนถึงเจาผิงของซื่อจงฮ่องเต้ซึ่งเป็นฮ่องเต้พระองค์ก่อน พูดได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ่อยครั้ง อีกทั้งระหว่างนั้นยังเคยเกิดศึกสงครามขึ้นมา
นับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต้าเว่ยก็ได้สิ้นสุดการต่อสู้ภายใน อาณาจักรแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ราษฎรใช้ชีวิตสุขสงบ ทว่านับแต่เซียวอิ้นถังสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากซื่อจงฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา บริเวณชายแดนทางเหนือก็เกิดคลื่นลมขึ้นมาอีกครั้ง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จิตใจฮึกเหิม ปีถัดมาหลังขึ้นครองราชย์ได้นำทัพออกไปสู้ศึกด้วยพระองค์เองโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านและการห้ามปรามอย่างสุดกำลังของบรรดาขุนนาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะชนะสงครามได้ ทว่าระหว่างการทำศึกนั้นพระองค์กลับได้รับบาดเจ็บ หลังกลับมาแล้วพระอาการก็มีแต่ยิ่งเลวร้ายลง เหล่าหมอหลวงต่างทำอะไรไม่ได้
หลายวันมานี้เริ่มมีข่าวลือไม่สู้ดีแพร่กระจายออกมาแล้ว
เดิมทีบุรุษบนพระแท่นบรรทมไม่ได้สติมาโดยตลอด แต่จู่ๆ มือของพระองค์ก็ยกขึ้นมาปัดป่ายไปมากลางอากาศ คล้ายกำลังต่อสู้ขัดขืนกับบางสิ่งอย่างเต็มที่
ดวงตาของพระองค์ยังคงปิดสนิทเช่นเดิม ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าเจ็บปวดและหวาดผวา บริเวณหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นออกมาไม่หยุด มองดูแล้วเหมือนกำลังทุกข์ทรมานต่อฝันร้ายอันน่าหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น
เจินจยาฝูรีบเขยิบตัวเข้าไปใกล้ โน้มตัวเข้าหา กุมมือที่เย็นเฉียบของพระองค์
“ฝ่าบาท ทรงตื่น…”
ชั่วเวลาต่อมาเจินจยาฝูก็ถูกเซียวอิ้นถังผลักออกไปอย่างแรงจนล้มอยู่บนพื้น นางรีบหยัดกายขึ้นมาโดยไม่สนต่อความเจ็บปวด กลับไปที่เดิม โน้มร่างเข้าใกล้พระองค์อีกครั้ง ก่อนจะได้ยินพระองค์ละเมอขึ้นมา ใจความดูคลุมเครือ น้ำเสียงประดุจกำลังร้องครวญคราง
“โย่วอัน! โย่วอัน! นี่คือการตอบแทนที่เจ้ามอบให้ข้าอย่างนั้นรึ! ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ! อย่าได้โทษข้า! หากจะโทษก็โทษเสด็จพ่อ! ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาก่อขึ้นมา…”
มีเสียงกลุกกลักดังออกมาจากลำคอของเซียวอิ้นถัง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังบีบคอพระองค์อยู่ ทำให้หายใจลำบาก
หัวใจเจินจยาฝูเต้นกระหน่ำรัวอย่างรุนแรง
เซียวอิ้นถังที่อยู่ในห้วงฝันยังคงละเมอต่อไป ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
“เราเป็นฮ่องเต้! เราเป็นฮ่องเต้ของต้าเว่ย! เผยโย่วอัน เราไม่กลัวเจ้า! เจ้าไม่ควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่แรก! ต่อให้เจ้ากลายเป็นวิญญาณ แต่จะทำอะไรเราได้เล่า!”
เซียวอิ้นถังกัดฟันกรอด ใบหน้าบิดเบี้ยว มือที่ปัดป่ายไปมาคว้าจับข้อมือข้างหนึ่งของเจินจยาฝูได้พอดี จึงกระชับนิ้วทั้งห้าแน่น ระหว่างฟันมีเสียงกึกกักดังลอดออกมา ในช่วงเวลานั้นคล้ายพละกำลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดได้มารวมอยู่ที่นิ้วทั้งห้า ราวกับมือที่จับได้คือมือในฝันข้างนั้น อยากจะบีบกระดูกให้แหลกละเอียด
เจินจยาฝูข่มกลั้นความเจ็บปวด พร้อมส่งเสียงเรียกพระองค์ออกไปอีกครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ!”
ในที่สุดเซียวอิ้นถังก็ได้สติ ลืมตาโพลง เหงื่อเย็นไหลท่วม สายตาจ้องอย่างนิ่งงันไปยังเจินจยาฝูที่อยู่ข้างกาย
สีหน้าเจินจยาฝูซีดขาวเล็กน้อย มองสบตาเซียวอิ้นถังอีกสักพัก ก่อนส่งยิ้มให้พระองค์ “ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันเองเพคะ”