เซียวอิ้นถังปล่อยข้อมือนางออกช้าๆ มือตกกลับลงไปอย่างไร้กำลัง
เจินจยาฝูเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากให้พระองค์
ใบหน้าพระองค์ซีดขาว หลังหลับตาอยู่สักพักก็เปล่งเสียงตรัสถามอย่างอ่อนแรง “อาฝู เมื่อครู่เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าเราละเมอสิ่งใดออกมา”
มือที่กำผ้าเช็ดหน้าของเจินจยาฝูชะงักไปเล็กน้อย
เผยโย่วอัน…คนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ละเมอออกมาคือบุตรชายคนโตของตระกูลเว่ยกั๋วกง ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เจ็บป่วยบ่อยครั้ง แต่มีความสามารถโดดเด่น มากพรสวรรค์ อ่านตำราผ่านตาไม่มีวันลืม อายุแค่สิบสี่ก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ ได้แล้ว เทียนสี่ฮ่องเต้ในตอนนั้นโปรดปรานเขามาก ถึงขั้นแหกกฎให้เขาเข้าไปรอรับคำสั่งอยู่ในตำหนักบูรพา ทั้งมีฉายาดีงามว่า ‘บุรุษชุดขาวกลิ่นอายสูงศักดิ์ มหาเสนาบดีอายุน้อย’ ภายหลังซื่อจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับพระเมตตาอย่างมาก ทว่าสวรรค์ริษยาผู้มีพรสวรรค์ เขาโชคร้ายตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนในตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อ เมืองหล่งซี ตลอดชีวิตไม่ได้แต่งงาน อายุไม่ถึงสามสิบปี
ได้ยินมาว่าในคืนก่อนที่เขาจะตายที่เมืองซู่เยี่ยนอกด่าน อาการป่วยของเขากำเริบ กระอักเลือดออกมาไม่หยุด เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาเยี่ยมอาการต่างหลั่งน้ำตา ทว่าเขากลับไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ตามเดิม บอกว่าตนเองมีสหายเป็นยาสมุนไพรตั้งแต่เด็ก เคยมีคนบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบปี การที่ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันเป็นการขอยืมเวลาสวรรค์มายี่สิบกว่าปีแล้ว สามารถตายโดยไร้ความเสียดาย
ยามที่ข่าวร้ายเรื่องเผยโย่วอันอาการป่วยกำเริบตายอยู่ที่ชายแดนอย่างโดดเดี่ยวมาถึงเมืองหลวง ได้ยินว่าซื่อจงฮ่องเต้เสียใจมากจนหมดพระสติไปทันที
หลังเผยโย่วอันตายก็ไม่ได้ร่วมฝังในสุสานบรรพบุรุษสกุลเผย แต่ไปฝังอยู่ที่นอกเมืองซู่เยี่ยตามคำสั่งเสียของตัวเขา เสียงร้องไห้ของทหารและราษฎรดังสะเทือนผืนฟ้า ไม่ยอมแยกย้ายไปที่ใดกว่าครึ่งเดือน ซื่อจงฮ่องเต้ถึงขั้นแหกกฎแต่งตั้งเขาเป็นอันซีอ๋อง ภายหลังที่เขาเสียชีวิตไปได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
พูดในด้านความสัมพันธ์ ที่จริงแล้วเผยโย่วอันกับเจินจยาฝูเองก็นับเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ระหว่างทั้งสองคน นอกจากเหตุบังเอิญที่ได้พบกันเมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก
“หม่อมฉันไม่ได้ยินเพคะ”
นางตอบกลับเสียงเบา พร้อมเช็ดเหงื่อให้เซียวอิ้นถังต่อไป
เซียวอิ้นถังผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง พระองค์กุมมือเจินจยาฝูไว้หลวมๆ แล้วตรัสว่า “อาฝู เรารักเจ้าดั่งชีวิต ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าก็มีเจ้าอยู่ในหัวใจเสมอมา หลายปีมานี้ถึงศักดิ์ฐานะจะไม่อาจมอบให้เจ้าได้ แต่เราก็มีความรักใคร่โปรดปรานให้อย่างที่สุด เรากำลังจะจากไปแล้ว เรื่องราวหนหลังทุกอย่างล้วนจัดการเสร็จสิ้น บ้านทางมารดาของเจ้าเราเองก็ได้จัดการให้แล้ว อย่างเดียวที่เราตัดใจไม่ได้ก็คือเจ้า…”
พระองค์ลืมตาขึ้นช้าๆ
“เมื่อเราจากไปแล้ว เจ้าจะเต็มใจติดตามเราไปด้วยหรือไม่”
สีหน้าของเซียวอิ้นถังปราศจากสีเลือด บริเวณหว่างคิ้วมุ่นเข้าหากัน ทำให้รูปโฉมที่เดิมทีสง่างามองอาจปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายความตายบางๆ ชั้นหนึ่ง
เจินจยาฝูกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่า มองสบดวงตาของฮ่องเต้
เซียวอิ้นถังมองมาที่นางพร้อมเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดกัน เจ้าไม่อยากอยู่เคียงข้างเราแล้วหรือ”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเต็มใจเพคะ”
นางดึงมือตนเองกลับมา แล้วโขกศีรษะไปทางพระแท่นบรรทม หน้าผากจรดพื้น คุกเข่าโดยไม่ลุกขึ้นมาอยู่เนิ่นนาน
“เขยิบเข้ามาใกล้เราหน่อย”
เซียวอิ้นถังยื่นมือไปทางเจินจยาฝูอีกครั้ง ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายโอบกอดนางแน่นพลางถอนหายใจยาว ในเสียงถอนหายใจนั้นคือความเสียดายและไม่เต็มใจอันไร้ที่สิ้นสุด
“เรากลัวว่าโลกเบื้องล่างจะเงียบเหงา หลังไปที่นั่นแล้วจะไม่มีผู้ใดเข้าใจเรา ทำให้เราหลงลืมความทุกข์ได้เช่นเจ้าอีก เรายิ่งกลัวว่าเมื่อเราจากไป ทิ้งเจ้าเอาไว้คนเดียวบนโลกใบนี้ นับจากนี้เจ้าจะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง มิสู้เจ้าเองก็ติดตามเราไปด้วยกันเถิด เช่นนี้เราถึงจะวางใจได้”
ริมฝีปากของพระองค์แนบอยู่ข้างใบหูของนาง พึมพำเสียงเบา ในน้ำเสียงอ่อนโยนเหลือประมาณ
“อาฝู อย่าได้โทษเราเลย หากมีชาติหน้า เราจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้เจ้าอย่างแน่นอน…”