ฤดูใบไม้ร่วงของรัชศกเสินกวงปีที่สอง ฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยสวรรคตตั้งแต่วัยหนุ่ม ได้รับการถวายพระนามว่า ‘ตุนจง’
‘ตุน’ ที่หมายถึงการเจริญสัมพันธไมตรีกับดินแดนเพื่อนบ้านด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
‘ตุน’ ที่หมายถึงเสริมสร้างคุณธรรมความดี
เป็นพระนามที่บ่งบอกถึงคุณงามความดีของฮ่องเต้ เนื่องจากก่อนหน้าที่เซียวอิ้นถังจะจากไปได้ทิ้งพระราชโองการสั่งเสียที่ผู้คนต่างสรรเสริญเอาไว้
พระองค์กล่าวว่า ‘การนำคนมาร่วมฝังด้วย เราทนไม่ได้ ดังนั้นหลังเราจากไปแล้ว ให้ยกเว้นการฝังพระสนมทุกคน ให้พวกนางได้ใช้ชีวิตยืนยาวต่อไป’
นับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนหน้าก็มีกฎวังหลวงที่ว่าเมื่อฮ่องเต้สวรรคต สตรีตำหนักในทุกคนที่ไร้บุตรจะต้องถูกฝังร่วมไปด้วย อย่างน้อยอาจมีแค่ไม่กี่คน อย่างมากก็อาจมีถึงหลายสิบคน ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ให้สืบทอดรูปแบบเดิม เซียวอิ้นถังพระชนมายุเพียงสามสิบชันษา จู่ๆ สวรรคตไป สำหรับสตรีตำหนักในเหล่านั้นแล้วประหนึ่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เดิมทีร้องไห้น้ำตานองอยู่ทุกวัน ได้แต่รอเวลาถูกฝังลงดินและไปยังยมโลกด้วย กลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะละเว้นความตายของพวกนาง แม้จะพูดว่าชะตาชีวิตที่รออยู่ยังคงเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นจวบจนวันตาย แต่เมื่อเทียบกับการถูกบีบคั้นให้ติดตามพระองค์ไปตายตั้งแต่ตอนนี้ การมีชีวิตรอดอยู่ได้ยังคงเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
ทุกคนต่างรู้สึกขอบคุณในเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้ การร้องไห้หน้าดวงวิญญาณเองจึงดูจริงใจเป็นพิเศษ
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจินจยาฝู
ตัวนางได้ยอมรับชะตาชีวิตเช่นนี้อย่างไร้ความรู้สึกไปแล้ว
ชาตินี้นางก็เปรียบเสมือนจอกแหนที่ไร้ราก หลังมอบทุกอย่างให้เซียวอิ้นถัง ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ชื่อไร้ฐานะไม่อาจเปิดเผยตัวตน การที่มีจุดจบเฉกเช่นปัจจุบันจึงไม่เหนือไปจากความคาดหมายแต่อย่างใด
ทว่าสิ่งที่รอนางอยู่กลับไม่ใช่แพรขาวสามฉื่อ ดังที่นางคิดเอาไว้
จางไทเฮาที่เพิ่งเลื่อนยศสั่งให้นำนางใส่ลงไปในโลงไม้หนานมู่ ลงรักทองล้ำค่าที่เตรียมไว้ให้นางเป็นพิเศษทั้งเป็น ใช้วิธีการเช่นนี้ฝังนางให้ร่วมเดินทางไปสู่ยมโลกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงสั่งให้ข้าคอยดูแลครอบครัวสกุลเจินของเจ้าให้ดีๆ เจ้าติดตามฝ่าบาทไปอย่างสบายใจเถอะ ข้าไม่มีทางละเลยต่อคำฝากฝังของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
จางไทเฮาไม่ได้ใจกว้างเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป สายตาจ้องเขม็งมาที่เจินจยาฝู ใช้น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นอย่างไม่ปิดบัง กล่าวเน้นย้ำกับนางทีละคำๆ
ฝาโลงอันหนักอึ้งปิดทับลงมา แสงสว่างลำสุดท้ายตรงหน้าพลันถูกตัดขาดไป
โลกของเจินจยาฝูกลายเป็นสีดำสนิท นางถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ ของโลกแห่งนี้ตลอดกาล…ไม่มีวันออกไปได้อีก
ปราศจากการดิ้นรน…ปราศจากเสียงกรีดร้อง…
เป็นเพราะรู้ดี ไม่ว่านางจะดิ้นรนหรือกรีดร้องเพียงใดล้วนแต่เป็นการเสียแรงเปล่า
นี่ก็คือจุดจบของนางที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ยามมีชีวิตนางเลือกไม่ได้ ยามแต่งงานนางเลือกไม่ได้ แม้แต่ยามตายนางก็ยังเลือกไม่ได้อีก
อากาศเบาบางลงทุกขณะ หน้าอกรู้สึกปวดร้าวเพราะอาการหายใจไม่ออก ท่ามกลางความทรมานอันยาวนานก่อนตาย เล็บมือของนางเริ่มกรีดข่วนโลงไม้ที่พอจะเอื้อมถึงอย่างควบคุมไม่ได้ ทิ้งรอยเล็บไว้บนเนื้อไม้ที่แข็งประดุจทองคำรอยแล้วรอยเล่า
ที่แท้นางก็หวาดกลัวความตาย กลัวแรงกดดันอันไร้ขอบเขตที่มาจากความมืดมิดภายใต้ผืนดิน ที่นี่มีแต่กลิ่นอายของความตาย เป็นความรู้สึกที่ยามมีชีวิตอยู่ไม่อาจจินตนาการถึงได้โดยสิ้นเชิง
มาถึงตอนนี้นางเพิ่งตระหนักได้ว่าที่แท้ตนเองก็อยากจะมีชีวิตรอด ต่อให้ต้องยากลำบากกว่านี้ก็ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
หากก่อนหน้านี้ไม่ได้แต่งให้กับพี่รองเผย หากภายหลังไม่ได้พานพบเซียวอิ้นถัง ชีวิตของนางควรจะเป็นเช่นไรกัน
แต่ว่าไม่ทันแล้ว ชีวิตนี้นางได้เดินมาถึงจุดสิ้นสุด ชีวิตของนางต้องจบลงทั้งอย่างนี้แล้ว
เจินจยาฝูเริ่มร้องไห้ หยาดน้ำตาไหลรินออกมา แต่การร้องไห้มีแต่จะยิ่งสิ้นเปลืองอากาศมากขึ้น ทำให้นางเจ็บปวดทรวงอกยิ่งกว่าเดิม
เบื้องหน้านางเริ่มปรากฏภาพหลอนสีสันพิลึกพิลั่นต่างๆ ขึ้นมา ตรงปลายสุดของแสงสว่าง ในความเลือนรางนางคล้ายได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินยิ้มน้อยๆ ทะลุผ่านความมืดอันไร้จุดสิ้นสุดของยมโลกตรงมาที่นาง มองสบประสานกับดวงตาคลอหน่วยด้วยหยาดน้ำตาของนาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตาอันไร้ที่สิ้นสุด
นางจดจำได้แล้ว…เขาก็คือบิดาของนาง
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่นางยังอายุแค่สิบสามปี บิดาออกทะเล นางมาส่งเขาถึงท่าเรือ ก่อนที่เขาจะขึ้นเรือไป บิดาให้คำสัญญากับนางว่าการออกทะเลครั้งนี้ เขาจะต้องเอาสร้อยคอมุกเงือกม่วงกลับมาให้นางอย่างแน่นอน
มุกเงือกม่วงทำขึ้นในแคว้นที่อยู่ห่างไกลอีกโพ้นทะเล ไม่ใช่แค่ส่องสว่างในความมืดได้ แต่ยังเล่าลือกันว่ามันสามารถมอบความสุขความเจริญมาให้ผู้คน หากคนเดินทะเลสามารถพบเจอก็เรียกได้ว่าโชคดี
‘หากสวมมันเอาไว้ อาฝูของพ่อก็จะมีชีวิตราบรื่น ไร้ทุกข์ไร้โศกไปตลอดชีวิต’
ภาพบิดาที่เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างในตอนนั้น ทุกวันนี้นางยังคงจดจำได้ขึ้นใจ
ทว่าหลังการออกทะเลครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยกลับมาอีก
‘อาฝู พ่อกลับมาแล้ว นำสร้อยคอมาให้ลูกด้วย ลูกชอบหรือไม่’
“ท่านพ่อ…”
เจินจยาฝูยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นมือออกไปหาพลางร้องเรียกบุรุษที่รักถนอมนางที่สุดบนโลกใบนี้
ลมหายใจเฮือกสุดท้ายอันล้ำค่าลอยออกมาจากปอดของนาง สองมือที่เล็บฉีกขาดและหลั่งโลหิตร่วงหล่นจากกลางอากาศช้าๆ อย่างไร้กำลัง วางทาบลงบนหน้าอกอันอ่อนนุ่ม ข้างริมฝีปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ