บทที่ 2
จางต้ากับบ่าวรับใช้ที่ออกมาพร้อมกันคอยยืนห่างออกไปทางข้างหลัง มองดูเงาแผ่นหลังของคุณหนูที่ยืนอยู่ตรงทำนบของท่าเรือแห่งนั้นพร้อมคาดเดาบางอย่างได้รางๆ
พ่อลูกรักใคร่กันลึกซึ้ง พรุ่งนี้คุณหนูออกเดินทางขึ้นเหนือเตรียมตัวแต่งงาน คืนนี้ย่อมมีเรื่องให้ครุ่นคิดจึงได้มารำลึกถึงนายท่านที่จากไปแล้วยังที่แห่งนี้ ในใจเองก็รู้สึกสะท้อนใจ ไม่กล้ารบกวนนาง หลังรอเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ก็หันไปส่งสายตาให้ถานเซียง
ถานเซียงเข้าใจ เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเจินจยาฝูพลางเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ ดึกแล้วอากาศหนาว มิสู้กลับกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
เจินจยาฝูหันกลับมาเงียบๆ นำของไหว้และธูปที่ผ่านพิธีรำลึกถึงแล้วโยนทิ้งทะเลไปตามธรรมเนียม แล้วจึงเดินกลับมา
จางต้ารีบเลิกม่านเกี้ยวขึ้น เจินจยาฝูก้าวขึ้นเกี้ยว ทว่ายามที่จางต้ายกโคมไฟขึ้นเตรียมจะออกเดินทางกลับ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาคนสองคนอยู่อีกฝั่งกำลังยกสิ่งของบางอย่างเดินตรงมาทางนี้ ทันใดนั้นสองคนนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่ท่าเรือมีคนอยู่ ท่าทางคล้ายดูลนลานขึ้นมา รีบร้อนกลับตัวเตรียมหนีไปทันที
อาศัยแสงจากดวงจันทร์ จางต้าจดจำได้แต่แรกแล้วว่าสองคนนั้นเป็นลูกจ้างของสกุลจินที่มีการแข่งขันทางการค้ากับสกุลเจิน
ทุกวันในเมืองเฉวียนโจวมีเรือเล็กใหญ่นับพันมาจอดที่ท่า แต่จำนวนท่าเรือมีจำนวนจำกัด จึงมักจะเกิดความขัดแย้งกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่ดีที่สุด พ่อค้าที่มีกำลังเงินหนาบางส่วน เพื่อจะทำให้เรือของตนเองเดินทางเข้าออกได้สะดวกก็จะจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยให้กับด่านเก็บจังกอบเรือ เพื่อเช่าท่าเรือ อนุญาตให้แค่เรือของสกุลตนเองใช้งานเท่านั้น กำลังเงินของสกุลเจินที่เฉวียนโจวไม่เป็นสองรองใคร ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางท้องถิ่นเองก็ดี ย่อมมีท่าเรือส่วนตัวในตำแหน่งที่ดียิ่ง
ดึกดื่นเช่นนี้ลูกจ้างสกุลจินกลับทำตัวลับๆ ล่อๆ แบกอะไรไม่รู้มาทางท่าเรือของสกุลเจิน ในใจจางต้านึกสงสัยครามครัน หลังเอ่ยบอกเจินจยาฝูที่อยู่ในเกี้ยวแล้วก็รีบไล่ตามไปทันที เห็นเพียงเสื่อฟางผืนเก่าที่ม้วนเอาไว้ผืนหนึ่ง ภายในนั้นไม่รู้ว่าห่อสิ่งใดเอาไว้ เขาจึงตวาด “หยุดนะ! ที่แบกมาคือสิ่งใดกัน!”
ลูกจ้างสองคนนั้นย่อมคาดไม่ถึงว่าดึกดื่นเพียงนี้ที่ท่าเรือของสกุลเจินจะยังมีคนอยู่อีก จึงหันหน้ากลับ สับขาแบกของหนีทันควัน แต่ด้วยความร้อนตัวเลยไม่ทันจับเสื่อที่ม้วนเอาไว้ให้ดี เงาสีดำกองหนึ่งจึงไถลจากปลายด้านหนึ่งของเสื่อม้วนตกมาบนพื้น ลักษณะคล้ายคน
เมื่อจางต้ายกโคมขึ้นส่องก็พบว่าเป็นเด็กอายุราวสิบสามสิบสี่ปีผู้หนึ่ง เสื้อผ้าเก่าขาด รูปร่างผ่ายผอมยิ่ง ดวงตาปิดสนิท ดูเหมือนจะตายไปแล้ว
จางต้าทำงานอยู่ที่ท่าเรือมานาน มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น ยามนั้นก็เข้าใจเรื่องราวในทันที จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันใด พุ่งเข้าไปจับตัวสองคนนั้นที่ตั้งใจจะหลบหนีเอาไว้ ตวาดอย่างโมโห “ดียิ่ง! ดึกดื่นเอาศพมาโยนทิ้งก็ยังเข้าใจได้ แต่ถึงกับกล้ามาทิ้งอยู่ที่ท่าเรือของเจ้านายข้า ตามข้าไปหาเจ้าหน้าที่เดี๋ยวนี้เลย!”
เดิมทีการค้าทางทะเลของเฉวียนโจวคึกคัก คนกว่าครึ่งเมืองต่างอาศัยทะเลหาเลี้ยงชีพ การใช้ชีวิตอยู่บนทะเลกับบนบกย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงมีมากยิ่งกว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ เกิดเป็นความเชื่อและข้อห้ามจำนวนมากที่ไม่ว่าผู้ใดล้วนแต่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการทิ้งศพไว้ที่ท่าเรือก็คือหนึ่งในนั้น ในสายตาของคนท้องถิ่นแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องอัปมงคล วิญญาณน้ำพยาบาทไม่ยอมจากไปที่ใด จะคอยสิงสู่หลอกหลอนอยู่ในเรือลำที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไม่เป็นมงคลต่อเจ้าของเรือแม้แต่น้อย