ลูกจ้างเห็นว่าไม่มีทางปิดบังได้แล้ว จางต้ายังโมโหบอกว่าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ในใจหวาดกลัว พลันคุกเข่าลงพื้นเสียงดังตึง ร้องขอความเมตตาไม่หยุด บอกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ทำงานอยู่ที่อู่ต่อเรือสกุลตน ทั้งไม่มีครอบครัว เมื่อไม่กี่เดือนก่อนติดโรค บัดนี้เห็นว่าใกล้ตายแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านนำเรื่องไปรายงานต่อนายท่านจิน นายท่านจินไม่อยากแจ้งทางการให้เป็นเรื่องเป็นราว ที่ผ่านมายังอิจฉาสกุลเจินที่ได้ครอบครองท่าเรือตำแหน่งที่ดีที่สุดมาโดยตลอด จึงนึกวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้ สั่งให้คนอาศัยช่วงกลางดึกที่ฟ้ามืดนำตัวคนไปโยนทิ้งในทะเลบริเวณท่าเรือสกุลเจิน เมื่อศพถูกพัดไปตามคลื่น ไม่เพียงแต่จัดการคนได้สะอาดหมดจด ต่อให้ดวงวิญญาณจะไม่จากไปที่ใดก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลตนเองแล้ว
ท่าเรือเมืองเฉวียนโจวรวบรวมผู้คนนับไม่ถ้วนที่มาหากินอยู่ที่นี่ ถึงแม้ทางการจะออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามไม่ให้ใช้งานบุคคลที่ไร้ทะเบียน แต่นั่นก็เป็นแค่คำสั่งเปล่าๆ เท่านั้น ด้วยเพราะค่าแรงต่ำ พวกอู่ต่อเรือจึงชอบจ้างคนจรจัดที่มาจากข้างนอกมากกว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ดูท่าแล้วก็คงเป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่โชคร้าย บัดนี้ป่วยตายไปเสียแล้ว
จางต้ายิ้มเย็น “ช่างไม่รู้จักกลัวเวรกรรมบ้างเลย! ไป! ไปหาคนของทางการ ดูว่านายท่านของพวกเจ้าจะพูดอะไรได้อีก!”
ลูกจ้างหวาดกลัวถึงที่สุด คุกเข่าอยู่บนพื้นร้องขอความเมตตาไม่หยุด บอกว่าพวกตนถูกบังคับให้ทำ ไม่เกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อย
เจินจยาฝูได้ยินเสียงดังโวยวายจึงลงจากเกี้ยวไปดูเหตุการณ์ จางต้าเห็นแล้วก็รีบร้อนวิ่งมาหา “คุณหนูอย่าเดินเข้ามาขอรับ ที่นี่ไม่สะอาด!”
ลูกจ้างเห็นว่าคุณหนูสกุลเจินก็อยู่ด้วย รู้ว่าหากพวกเขาถูกส่งไปพบคนของทางการ นายท่านจินจะเป็นเช่นไรบ้างนั้นไม่อาจรู้ แต่ที่รู้คือพวกเขาสองคนจะต้องเดือดร้อนแน่แล้ว จึงเปลี่ยนไปขอร้องนางแทน น้ำหูน้ำตานองหน้า
เจินจยาฝูขมวดคิ้ว เหลือบสายตามองไปยังคนบนพื้น
“เขายังไม่ตายเจ้าค่ะ! เมื่อครู่บ่าวเหมือนเห็นเขาขยับตัวเล็กน้อย!”
ถานเซียงพลันร้องออกมา
จางต้ารีบยกโคมไฟขึ้นส่อง เห็นเปลือกตาของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นกระตุกน้อยๆ ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ
เจินจยาฝูมองไป
ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟ สะท้อนใบหน้าดูดีของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่อาจเพราะป่วยหนักเกินไป ดวงตาของเขาจึงคล้ายมีฝ้ามัวชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ มืดหม่นไร้ประกาย
ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นั้นจะได้สติกลับมาเล็กน้อย สายตาค่อยๆ กลับมารวมกัน จับจ้องไปยังเจินจยาฝูที่คลุมเสื้อกันลมยืนอยู่ข้างกายนิ่งๆ โดยที่ร่างกายไม่ไหวติง
เมื่อลูกจ้างสกุลจินเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่างพากันผ่อนลมหายใจออกมา รีบร้อนลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น ทางหนึ่งห่อตัวเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในเสื่อฟางเก่าส่งๆ อีกทางเอ่ย “พวกเราจะส่งเขากลับไปทันที เดี๋ยวนี้ ทันทีทันใดเลยขอรับ!”
ใบหน้าเด็กหนุ่มถูกเสื่อฟางบดบังไปแล้ว ลูกจ้างยกเสื่อม้วนขึ้น รีบร้อนเดินจากไป
จางต้ารู้ว่าทั้งสองคนยกเด็กหนุ่มกลับไปเช่นนี้ก็แค่รอให้เขาตาย จากนั้นค่อยหาสถานที่จัดการอีกทีเท่านั้น แต่เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ได้แต่โทษที่ชีวิตเด็กหนุ่มไม่ดีเอง เมื่อนึกถึงเรื่องที่พรุ่งนี้เจ้านายต้องออกเดินทางแต่เช้า ในเมื่อเรื่องราวถูกพบเห็นเข้าแล้ว คาดว่าสองคนนั้นย่อมไม่กล้ากลับมาทิ้งศพยังท่าเรือสกุลตนอีกแน่ ดังนั้นจึงปล่อยไป หันกลับมาเชิญเจินจยาฝูกลับขึ้นเกี้ยวแทน
เจินจยาฝูหันหลังกลับ ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพแววตาที่เด็กหนุ่มผู้นั้นมองมาที่ตนเองเมื่อครู่นี้อีกครั้ง ฝีเท้าอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักลงเล็กน้อย
นั่นเป็นสายตาของคนใกล้ตายที่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความสิ้นหวังและความหวังที่มีอยู่ในนั้น นางรู้ซึ้งและกระจ่างชัดยิ่งกว่าผู้ใด
นางหันหน้ากลับไป มองไปยังแผ่นหลังของคนเหล่านั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายยังคงเอ่ย “ลุงจาง เก็บเด็กคนนี้เอาไว้ที่ท่าเรือสกุลเราเถอะ เชิญท่านหมอมาดูอาการให้เขาด้วย หากสามารถรักษาได้จะดีที่สุด แต่หากไม่รอดก็นำเขาไปฝังเสีย”
จางต้านิ่งอึ้ง ก่อนจะเข้าใจในทันที คุณหนูเกิดความเห็นใจขึ้นมา ไม่อาจทนมองเด็กหนุ่มผู้นั้นต้องกลับไปรอความตายได้
คนที่ถูกจ้างมาทำงานในอู่เรือสกุลเจินมีอย่างน้อยนับร้อย แล้วก็ไม่เดือดร้อนหากจะมีเพิ่มมาอีกสักคน ในเมื่อคุณหนูเปิดปากแล้ว เขาย่อมต้องทำตาม ผงกศีรษะเอ่ย “คุณหนูจิตใจดีมีเมตตา บ่าวจะไปจัดการทันทีขอรับ” เอ่ยจบก็เดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว ตะโกนไปทางลูกจ้างทั้งสอง สั่งให้พวกเขารีบยกคนไปยังท่าเรือสกุลเจิน
ลูกจ้างทั้งสองแค่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าพ่อบ้านให้ออกมาทิ้งศพ นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น กำลังลอบก่นด่าความอับโชคของพวกตนก็ได้เห็นจางต้าเต็มใจรับช่วงต่อกะทันหัน ต่างพากันผ่อนลมหายใจแล้วรีบยกตัวคนกลับมาทันที เอ่ยประจบเอาใจไม่หยุดไปพลางสับขาวิ่งกลับไปยังอู่เรือสกุลเจินไปพลาง จางต้าสั่งให้ผู้ติดตามมาดูแลต่อ ส่วนตนเองคุ้มกันคุณหนูกลับคฤหาสน์สกุลเจิน
ตอนนี้เป็นช่วงยามจื่อแล้ว เจินจยาฝูเอ่ยถามบ่าวเฝ้าประตู จึงได้รู้ว่าพี่ชายเจินเย่าถิงยังคงไม่กลับมา
แต่ก่อนก็ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่เคยไม่กลับบ้านทั้งคืนมาก่อน แต่พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า ทว่าในคืนนี้เมื่อชาติก่อนเจินจยาฝูจำได้ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดกันแน่ ในใจนึกกังวล รวมเข้ากับที่มีเรื่องราวมากมายในใจ ยามดึกที่เหลือไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ…