ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 11
อาณาบริเวณของตำบลแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ไปกว่าตำบลจางสักเท่าไหร่ ทว่าสภาพโดยรอบของร้านอาหารที่อาเซิงพาพวกนางไปนั้นไม่เลวเลย พอก้าวผ่านประตูเข้าไป ทางซ้ายมือเป็นโต๊ะหน้าร้านทำด้วยไม้ตัวหนึ่ง ในโถงร้านมีโต๊ะเตี้ยๆ ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วทุกมุม วางกระบอกใส่ตะเกียบไม้ไผ่ไว้โต๊ะละหนึ่งกระบอก ลูกค้านั่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ บนเบาะรองนุ่มนิ่ม ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเดินสวนกันไปมา เมื่อได้ยินหลงจู๊ตะโกนเรียก พวกเขาถึงเห็นกลุ่มของพวกนางเข้ามา ก็กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ
พวกนางเลือกนั่งที่โต๊ะตรงมุมผนังมองเห็นด้านนอกได้ อาเซิงถามไถ่หลูซื่อว่าจะกินอะไร นางทั้งหิวข้าวทั้งกระหายน้ำจึงสั่งบะหมี่น้ำสามชาม อาเซิงก็สั่งเพิ่มอีกสองชามตามอย่างกัน เขาชี้ไปที่รถม้านอกร้านพร้อมกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ช่วยให้อาหารม้า ทั้งยังแอบยัดเยียดเงินเหรียญใหญ่หลายเหรียญให้เสี่ยวเอ้อร์ลับหลังหลูซื่ออีกด้วย
คนในร้านอาหารร้านนี้ทำงานกันได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บะหมี่น้ำส่งควันฉุยห้าชามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะแล้ว
อี๋อวี้นั่งติดกับหลูซื่อ ตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ร้อนๆ ในชามตรงหน้า ท้องที่ร้องประท้วงด้วยความหิวโหยถึงสงบลงได้ในที่สุด นางยิ่งกินยิ่งเร็วโดยไม่ใส่ใจที่บะหมี่ชามนี้มีรสชาติจืดชืด พอกินเส้นซดน้ำแกงดังสูดสาดจนเกลี้ยงชาม นางได้ยินหลูซื่อถามขึ้นเสียงเบาๆ ด้วยน้ำใจไมตรี
“ผู้มีพระคุณ ไฉนไม่กินสักหน่อย ไม่หิวหรือว่าไม่ถูกปาก”
นางถามจบแล้วไม่เห็นคุณชายฉางกล่าวตอบก็ถอนหายใจแผ่วๆ หันหน้าไปพูดกับอี๋อวี้ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ “เหตุใดถึงกินเร็วแบบนี้ อย่าให้ท้องอืดอีกนะ”
สิ้นเสียงนาง หลิวเซียงเซียงกับอาเซิงที่เดิมทียังกินบะหมี่อยู่เงียบๆ พากันหยุดชะงักแล้วมองไปทางอี๋อวี้
พอสายตาของคนอื่นมองกวาดมาที่ตนเอง อี๋อวี้ถึงพบว่าผู้มีพระคุณซึ่งนั่งเฉยๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามยังไม่ได้ขยับตะเกียบเลย พอมองต่อไปยังชามบะหมี่ที่กินไปครึ่งเดียวของหลิวเซียงเซียงกับชามของมารดาที่กินไปไม่กี่คำ รวมถึงชามของอาเซิงที่ยังเหลือน้ำแกงติดก้นชามบ้าง จากนั้นมองดูชามตรงหน้าตนเองตาปริบๆ นางอดรู้สึกไม่ได้ว่ากระทั่งผักสองใบที่ลอยอยู่ในชามของผู้มีพระคุณคล้ายกำลังหัวเราะเยาะที่ก้นชามของนางสะอาดเกลี้ยงดีแท้
แม้อี๋อวี้นับว่าเป็นคนหน้าหนา แต่อย่างไรยังไม่บรรลุถึงขั้นหน้าด้านหน้าทน ในเวลาอย่างนี้นางรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง ผู้มีพระคุณยังไม่กินสักคำ แล้วนางเป็นอย่างไรล่ะ ขาดก็แค่เลียชามเท่านั้น
อี๋อวี้รู้ดีว่าเผลอตัวกระทำเรื่องที่เสียมารยาทเยี่ยงนี้สมควรทบทวนตนเอง นางส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้มารดาแล้วตั้งใจจะทบทวนตนเองดีๆ เพียงแต่นางเพิ่งก้มหน้าลง ก็เห็นชามใบหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้าสายตา หรือที่ถูกต้องคือชามใส่บะหมี่ใบหนึ่ง หรือให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมีมือข้างหนึ่งยกชามที่ใส่บะหมี่ชามหนึ่งปรากฏตรงหน้านาง
อี๋อวี้มองเห็นนิ้วโป้งที่สวมปลอกนิ้วหยกเขียวนิ้วนั้นค่อยๆ เลื่อนออกจากขอบชาม พร้อมด้วยฝ่ามือเรียวเห็นข้อนิ้วชัดข้างนั้นหายไปจากสายตาพร้อมกัน นางถึงเงยศีรษะขึ้นมองคุณชายฉางผู้มีพระคุณตรงหน้าอย่างวุ่นวายใจ
นี่หมายความว่าอะไร เขาไม่อยากกินแต่กลัวสิ้นเปลืองอาหาร ทั้งเห็นว่านางค่อนข้างกินจุ ดังนั้นต้องการให้นางจัดการกับบะหมี่ชามนี้เสีย? ทว่ากระเพาะน้อยๆ ของนางรับบะหมี่สองชามใหญ่ๆ ไม่ไหวจริงๆ นะ
อี๋อวี้ยุ่งยากใจครู่หนึ่ง นางคิดคำอธิบายอย่างอื่นไม่ออกอีก จำต้องพูดกับอีกฝ่ายเสียงอ่อยๆ “ผู้มีพระคุณ ข้าอิ่มมาก กินไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้ที่ประหลาดใจกับการกระทำของคุณชายฉางมิใช่นางคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด ด้านอาเซิงนั้นนับว่ามีปฏิกิริยาฉับไว หลังตั้งสติได้เขารีบยกชามที่เพิ่มขึ้นมาเบื้องหน้าอี๋อวี้ใบนั้นมาตรงหน้าตนเองพร้อมหัวเราะแหะๆ ก่อนกล่าว “ข้ากินไม่พอ ส่วนเจ้ากลับอิ่มเสียแล้ว” ว่าแล้วก็พูดกับคุณชายฉาง “คุณชาย บะหมี่ชามนี้มอบให้ข้าเถอะ ข้าหิวจนตาลายเลยขอรับ”
คุณชายฉางไม่ตอบ ริมฝีปากก็ไม่ขยับสักนิด ปล่อยให้อาเซิงพูดเองเออเองอยู่นานสองนานจนกินบะหมี่ชามนั้นหมดเกลี้ยง
หลูซื่อกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะเริ่มอบรมสั่งสอนอี๋อวี้เสียงเบาๆ “กินข้าวกินแค่ให้อิ่มเจ็ดส่วน แม่บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว เจ้ากินไม่ลงคืออิ่มสิบส่วน กินอิ่มเกินไปก็จะท้องอืด พวกเรากำลังเร่งเดินทางอยู่ ถ้าเจ้าปวดท้องกลางทาง จะพาเจ้าไปหาหมอที่ไหน ถ้า…”
อี๋อวี้ฟังเสียงมารดาเทศนายาวเป็นชุดเบาๆ อยู่ข้างหู พลางมองท่านผู้มีพระคุณซึ่งเป็นตัวการใหญ่ด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่าแวบหนึ่ง ดูเหมือนนางชักไม่สบายท้องแล้วจริงๆ ในกระเพาะเริ่มปั่นป่วน อาการพะอืดพะอมระลอกหนึ่งทำให้นางไม่นำพาว่าหลูซื่อยังกล่าววาจาอยู่ เอามือสอดเข้าไปในอกเสื้อล้วงถุงผ้าปักใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา แก้เชือกรัดออกแล้วจ่อไว้ใต้จมูกสูดดมแรงๆ ถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
อี๋อวี้ทำถุงผ้าพื้นแดงใบนี้เมื่อสองปีก่อน นางปักแค่ลายดอกอิ๋งชุนสีเหลืองอ่อนกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักขนาดเท่าเล็บนิ้วสองสามดอกไว้ตรงมุมหนึ่ง เพราะช่วงอากาศหนาวจะเผาถ่านในเรือน เปิดหน้าต่างแล้วก็ยังมีกลิ่นอยู่ นางเลยเย็บถุงใบเล็กๆ กะทัดรัดแล้วเด็ดใบปั้วเหอในแปลงผักมาล้างให้สะอาดใส่ลงไป สามารถเก็บรักษากลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันไว้ได้นานถึงแปดเก้าวัน นำมาดมยามวิงเวียนคลื่นไส้จะช่วยบรรเทาอาการได้
หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ใบปั้วเหอในลานเรือนถูกตัดเก็บหมดแล้ว ส่วนใหญ่ให้หลูจื้อเอาไปลอยน้ำดื่ม ที่เหลืออยู่บ้างก็เอามาใส่ในถุงผ้าปักใบนี้หมด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องบังคับแต่งงานขึ้นกะทันหัน ดีที่นางยังมีถุงที่ทำเสร็จแล้วใบนี้พกติดตัวไว้
หลูซื่อเห็นท่าทางของบุตรสาวแล้วนึกเสียใจที่ตนเองดุแรงเกินไป จึงโอบนางหลวมๆ ตั้งท่าจะไถ่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลันได้ยินเสียงคนโพล่งขึ้น
“เอาอะไรออกมา”
อี๋อวี้ได้ยินเสียงทุ้มต่ำนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณอย่างแปลกใจ พอคิดตามทันว่าเขาถามตนเอง นางก็ลอบนึกในใจว่าเขาจมูกไวน่าดู ทว่าปากกลับเอ่ยตอบอย่างเรียบร้อย “เป็นถุงผ้าปักใบหนึ่งเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นนางมองเห็นฝ่ามือที่มีเส้นลายมือมากมายข้างหนึ่งตรงหน้า หลูซื่อมีปฏิกิริยาไวกว่าบุตรสาว ดึงถุงผ้าปักในมือนางไปวางบนมือข้างนั้นเบาๆ อี๋อวี้ถึงได้เห็นผู้มีพระคุณท่านนี้แสดงสีหน้าแบบที่สองนับแต่ได้รู้จักกันมา นั่นก็คือ…ขมวดคิ้ว
คุณชายฉางรับถุงผ้าปักเล็กๆ ใบนั้นมาจรดปลายจมูกดมกลิ่นก่อน อี๋อวี้มองเห็นปีกจมูกสองข้างของเขาขยับเบาๆ จากนั้น…จากนั้นคุณชายฉางก็เอามันเก็บเข้าไปในอกเสื้อตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย