เมืองฉางอัน ถนนจูเชวี่ยตะวันตกสายที่สี่ หัวถนนฝั่งขวาติดกับประตูเมืองจิ่งเย่าทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของซิวเต๋อฟาง
ณ มุมทิศเหนือภายในย่านนี้มีวัดสงบเงียบแห่งหนึ่งนามว่า ‘วัดหงฝู’
ช่วงระหว่างการสอบคัดเลือกเดือนสอง โดยมากผู้เข้าสอบจากต่างเมืองจะพำนักอยู่ที่เรือนพักแขกตามอารามวัดต่างๆ ของเมืองฉางอัน ในเมืองหลวงมีวัดพุทธทั้งสิ้นหกสิบสี่แห่ง แบ่งออกเป็นสามระดับโดยพินิจจากขนาดที่ตั้งและผู้กราบไหว้บูชาว่าคึกคักหรือซบเซา เนื่องจากทิศใต้ของวัดหงฝูตรงกับประตูฟางหลิน ทิศตะวันออกติดกับวังเยี่ยถิง ส่งผลให้ถูกบรรดาเหล่าปัญญาชนและผู้เข้าสอบรับราชการยกให้เป็นสถานที่ที่มีพลังอินรุนแรงเล็กน้อย ฉะนั้นบัณฑิตซึ่งพักอยู่ที่วัดแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไร้ที่พึ่งพาอาศัย
หลูจื้อกับหลูจวิ้นมาถึงเมืองฉางอันตอนบ่ายของวันที่สิบเอ็ด พวกเขาเช่ารถม้าในอำเภอชิงหยางร่วมกับผู้เข้าสอบคนหนึ่งแซ่จี้นามเต๋อ ชื่อรองอีเหยียน ซวีซุ่ย ยี่สิบเอ็ดปี ตอนแรกที่รู้จักกัน จี้เต๋อตกตะลึงมากเมื่อรู้อายุของหลูจื้อ ภายหลังได้อยู่ร่วมกันหลายวัน แม้นอายุต่างกัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่าคบหา จึงเริ่มนับพี่นับน้องกัน
จี้อีเหยียนเคยเข้าร่วมการสอบคัดเลือกมาแล้วสองครั้ง นับเป็นผู้มีประสบการณ์คนหนึ่ง เขาสาธยายถึงปัญหายุ่งยากจุกๆ จิกๆ ในขั้นตอนการสอบเข้ารับราชการให้หลูจื้อฟังตลอดทาง
ถึงจี้เต๋อมีฐานะดีกว่าหลูจื้อ แต่ล้วนมาจากตระกูลยากจนดุจเดียวกัน เมื่อเขาเสนอแนะขึ้น ทั้งสามก็ไม่เสาะหาที่พำนักอื่น บ่ายหน้าตรงไปขออาศัยที่วัดหงฝูในซิวเต๋อฟางทันที
วัดแห่งนี้มีอาณาเขตแค่ไม่กี่สิบหมู่ แม้นที่นี่จะเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไร้ชื่ออื่นๆ เช่นคำกลอนที่ว่า ‘ควันธูปลอยเบาบางดุจเมฆริ้ว ผืนผ้ายันต์พลิ้วปลิวตามลมโชย’ ทว่าสภาพรอบๆ สงบเงียบเป็นธรรมชาติ ต้นสนเขียวชอุ่มทั่วอาณาบริเวณของอาราม ในโถงรับรองประดับประดาด้วยผ้าแขวนผนังบันทึกตัวอักษร เสียงสวดมนต์แผ่วเบาแว่วลอยมากระทบหู คละเคล้ากลิ่นอายสดชื่นของน้ำค้างยามแรกรุ่งลอยอวลตรงปลายจมูก
ทั้งสามพำนักอยู่ในห้องพักแขกของวัด วันถัดมาก็ไปที่กรมอากรยื่นหนังสือส่งตัวจากอำเภอชิงหยาง และรับใบสำคัญประจำตัวมา เพียงรอเข้าพบผู้คุมสอบของกรมพิธีการเพื่อขอรับสารเสนอชื่อ
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะไปขึ้นทะเบียนที่กรมอากร เมื่อได้เป็นจวี่เหรินแล้ว ไม่สำคัญว่าจะมาจากชนชั้นปัญญาชน ชาวนา ช่างฝีมือหรือพ่อค้า ล้วนสามารถเป็นขุนนางได้ นี่คือเส้นทางการเข้าสอบรับราชการของกลุ่มเซียงก้ง
อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากสำนักศึกษาในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ บัณฑิตเหล่านี้สามารถข้ามขั้นตอนเข้าพบผู้คุมสอบของกรมพิธีการ เข้าร่วมการสอบชุนเหวยได้เลยโดยตรง นี่คือเส้นทางการเข้าสอบรับราชการของกลุ่มเซิงถู
กลุ่มที่สามคือผู้ศึกษาในสำนักการศึกษา เป็นลูกหลานของขุนนางเมืองหลวง เมื่อเล่าเรียนครบสี่ปี หลังผ่านการสอบเพื่อสำเร็จการเล่าเรียนสามารถข้ามขั้นตอนการสอบชุนเหวย และขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครองได้เลยโดยตรง
สองกลุ่มแรกคือจวี่จื่อกับเซิงถู จะเข้าร่วมการสอบชุนเหวยในเดือนสี่ หลังการสอบจะคัดหนึ่งร้อยคนจากทุกๆ ศาสตร์วิชาขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครอง แล้วเลือกเฟ้นผู้โดดเด่นที่สุดกลุ่มละสิบคนเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งร่วมกับผู้โดดเด่นจากทุกแขนงซึ่งคัดเลือกมาจากสำนักการศึกษาสายละสิบคน
สุดท้ายฮ่องเต้จะเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งเกียรติยศบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งได้แก่ จ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
ส่วนจวี่เหรินที่ยังมีอายุไม่ครบสิบหกปีต้องผ่านการคัดเลือกของกรมพิธีการส่งตัวไปที่สำนักศึกษาชื่อว่า ซื่อเหมินเสวีย ภายใต้สังกัดของสำนักการศึกษาเพื่อศึกษาเล่าเรียนขั้นสูงกับพวกลูกหลานขุนนาง ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการสอบชุนเหวย รอเมื่อสอบจบการศึกษาแล้วถึงขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครองได้