สูงศักดิ์น่าเกรงขาม! อี๋อวี้นึกหาคำบรรยายหนุ่มน้อยรูปงามผึ่งผายเบื้องหน้าสายตาออกได้แค่คำนี้ เมื่อวานที่นางมองไม่เห็นถึงความหัวรั้นได้ทะลุปรุโปร่ง ชัดว่าเป็นความสูงศักดิ์ที่เขาจงใจซ่อนเร้นเก็บงำไว้ บัดนี้ดูไปแล้ว หนุ่มน้อยผู้มีพระคุณท่านนี้หาได้เป็นแค่คุณชายตระกูลใหญ่ที่นางคิดไว้แต่แรกเท่านั้น หากมิใช่ใบหน้าเขายังแฝงรอยอ่อนเยาว์ไว้จางๆ อีกทั้งอี๋อวี้มีจิตใจเข้มแข็ง เกรงว่าคงใจสั่นเพราะอีกฝ่ายไปแล้วจริงๆ เพียงพินิจจากรูปลักษณ์นี้ เห็นทีว่าอีกสี่ห้าปีให้หลัง เมื่อเขาถอดคราบความเยาว์วัยนั่นทิ้งไป จะเป็นบุรุษรูปงามตัวการทำให้หมู่สตรีชอกช้ำน้ำตารินเป็นแน่แท้
หลูซื่อซึ่งเดินนำหน้ากับหลิวเซียงเซียงก็ดึงสติคืนมาอย่างไม่ง่ายดาย หลังจากพวกนางนั่งลงแล้ว นอกจากอี๋อวี้ที่หน้าหนากว่าใคร ทุกคนล้วนหน้าร้อนผ่าวๆ ลอบนึกเสียใจที่เมื่อครู่เสียมารยาท ถึงกับจับจ้องหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณท่านนี้แทบทะลุเป็นรู
ราวกับรับรู้ได้ว่าพวกนางเข้ามาใกล้ ประกายสูงศักดิ์รอบกายคุณชายฉางค่อยๆ เริ่มอ่อนแสงลง จนกระทั่งพวกนางนั่งลงแล้ว รัศมีละลานตาชั่วแวบหนึ่งเมื่อครู่นี้ก็หม่นลงสามส่วนอย่างเห็นได้ชัด
แม้นเป็นยามรุ่งเช้า ชั้นล่างมีผู้พักแรมนั่งกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่รอบข้างพวกเขาแล้ว ในบรรดานั้นต้องมีคนที่จ้องมองคุณชายฉางจนตาลอยไม่ขาด หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงชำเลืองหางตามองไปเห็นคนหัวอกเดียวกัน ก็สลัดความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยนั่นทิ้งไปได้
อาเซิงรู้ว่าเจ้านายตนเองแต่งกายชุดนี้เด่นสะดุดตาเกินไป แต่เสื้อผ้าเมื่อวานนี้เปรอะเปื้อนฝุ่นดินแล้ว ทั้งเดิมทีเจ้านายผู้นี้ไม่ชมชอบสวมชุดเดียวกันข้ามวัน การเร่งเดินทางทำให้เขาต้องละทิ้งความเคยชินผิดผู้ผิดคนไปไม่น้อย แต่เรื่องความสะอาดไม่อาจไม่พิถีพิถัน อาเซิงจำต้องเอาอาภรณ์ใหม่ชุดนี้ที่เหลืออยู่เพียงชุดเดียวมาให้เขาผลัดเปลี่ยน
เห็นสายตาตกตะลึงของคนรอบข้าง ความรู้สึกจนปัญญาพลุ่งขึ้นกลางอกอาเซิง ครั้นเห็นพวกหลูซื่อที่ถึงแม้สติเกือบหลุดลอยไปเพราะเจ้านายตน แต่ยังปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างว่องไว เขาอดมิได้ที่จะมองพวกนางด้วยสายตายกย่องขึ้นหลายส่วน
เมื่อสตรีที่สางผมล้างหน้าสะอาดสะอ้านสามนางนี้นั่งลง อาเซิงยังมองสำรวจพวกนางโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต แรกเริ่มเขานึกว่าทั้งสามเป็นแค่สตรีชนบท ตอนพบกันเมื่อคืนกลางดึกพวกนางหนีกระเซอะกระเซิงมา พอถึงกลางวันเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยฝุ่นดินจนเห็นหน้าไม่ชัดถนัดถนี่ ยามนั้นเขานึกอัศจรรย์ใจอยู่ว่าเหตุไฉนเจ้านายที่รักความสะอาดมาแต่ไหนแต่ไรถึงอดทนนั่งรถม้าคันเดียวกับสตรีที่มอมแมมไปทั้งตัวพวกนี้
พอได้เห็นในตอนนี้ เขาลอบประหลาดใจว่ารูปโฉมโนมพรรณของพวกนางล้วนไม่สามัญ สตรีซึ่งออกเรือนแล้วและสูงวัยที่สุดดูไปน่าจะมีอายุราวสามสิบ ดวงหน้างดงามสุภาพทอแววเฉียบแหลมเก่งกาจ ส่วนหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่ามากก็โฉมงามหมดจดเจริญตาเจริญใจ อีกคนที่เหลือเป็นเด็กหญิงน้อยที่ยังไม่เต็มสิบขวบก็เผยเค้าความงามออกมารางๆ ผิวพรรณนวลเนียนผุดผ่องมีวี่แววว่าจะเป็นหญิงสะคราญโฉมในภายหน้า
มิน่าถึงถูกคนลักพาตัวไป!
อาเซิงคิดคำนึงเช่นนั้นในใจ ปากกลับเอ่ยถามหลูซื่ออย่างมีมารยาท “ฮูหยินอยากจะกินอะไรขอรับ ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์บอกว่าซาลาเปาไส้ผักของร้านนี้มีรสชาติไม่เลว หรือไม่พวกเราสั่งมาสักสองสามเข่ง”
เพราะก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าหลูซื่อจ่ายค่าอาหาร นางเลยสั่งกับข้าวง่ายๆ เพิ่มอีกหลายอย่าง ระหว่างที่รออาหาร
อาเซิงหุบยิ้มและเอ่ยปากพูดกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากไต่ถาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฮูหยินจะไขความกระจ่างให้ขอรับ”
หลูซื่อย่อมต้องพยักหน้าแน่นอน แม้จะกังขาใจ แต่นางกลับไม่ปฏิเสธการซักถามของผู้มีบุญคุณต่อตน
อาเซิงรับถุงผ้าปักพื้นแดงที่คุณชายฉางล้วงจากแขนเสื้อ วางไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นไปตรงหน้าหลูซื่อพร้อมกล่าวถาม “ฮูหยิน ไม่ทราบว่าใบไม้สีเขียวที่ใส่อยู่ข้างในคืออะไร”
หลูซื่อรู้ว่าถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ใบปั้วเหอของอี๋อวี้ถูกคุณชายฉาง ‘หยิบติดมือ’ ไปเมื่อวานนี้ นางจึงเอ่ยตอบ “ในนั้นเป็นใบปั้วเหอ”
เห็นอาเซิงยังทำหน้างุนงง นางพูดขยายความต่อว่า “อักษรปั้วที่แปลว่าบาง ส่วนเหอแปลว่าใบบัว มันเป็นใบไม้ที่มีรสเย็นซ่านๆ ชนิดหนึ่ง”
อาเซิงแจ่มแจ้งในบัดดล เขาถามต่อ “ข้าเองก็นับว่าเดินทางไปมาทั่วทุกสารทิศ กลับไม่เคยพบเห็นของสิ่งนี้ มันเรียกว่าปั้วเหอหรือขอรับ แล้วฮูหยินซื้อถุงเครื่องหอมใบปั้วเหอนี้จากที่ใด”