อี๋อวี้จึงเล่าวิธีเพาะเมล็ดให้เขาฟังอย่างละเอียด รวมถึงกำชับจุดสำคัญในการปักชำกิ่งไปด้วยพร้อมกัน กระนั้นเขายิ่งฟังยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นทุกที จริงๆ แล้วเจ้าพืชต้นนี้เลี้ยงให้รอดได้ไม่ง่ายเลย แม้ตอนมันขึ้นตามริมน้ำจะแข็งแรงทรหดมาก พอมาปลูกในเรือนกลับอ่อนแอบอบบาง อี๋อวี้บอกอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างยาวเหยียดยิบย่อย เป็นเหตุให้เขาฟังจนเวียนหัวตาลายไปหมด
นางเห็นสีหน้าอาเซิงก็รู้ว่าเขาสับสนงุนงงแล้ว จึงลอบถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “รอเมื่อพวกข้าไปถึงที่หมายและหาที่ปักหลักได้ ข้าปลูกแล้วส่งไปให้พวกท่านอีกทีดีกว่าเจ้าค่ะ”
อาเซิงมองคุณชายฉางแวบหนึ่ง เมื่อได้รับสัญญาณเป็นเชิงอนุญาตจากผู้เป็นนาย เขาอมยิ้มพยักหน้ากับอี๋อวี้แล้วหันไปถามกับหลูซื่อ “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก ฮูหยิน ไม่ทราบว่าพวกท่านตั้งใจจะไปพำนักที่ใด ละแวกรอบเมืองฉางอันมีชนบทอยู่ไม่น้อย พวกท่านเลือกแห่งใดไว้หรือขอรับ”
หลูซื่อตอบ “แต่เดิมตระกูลสามีข้าเป็นคนด่านใน ส่วนข้าเป็นม่ายแล้วถึงโยกย้ายไปที่สู่จงเมื่อเก้าปีก่อน ยังพอจดจำได้ว่ามีตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าเจี้ยนซิงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองฉางอัน ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินหรือไม่”
อาเซิงรู้ว่าหลูซื่อเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง กลับเพิ่งได้ยินนางเล่าว่าตระกูลสามีอยู่ที่ด่านในเป็นหนแรก ถึงเขาจะสนใจใคร่รู้ แต่จะถามอะไรมากก็ใช่ที่ เขาทบทวนความทรงจำในหัวถึงตำบลที่ชื่อว่าเจี้ยนซิงนี้ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับนางอย่างฉงนใจ “ฮูหยิน ชนบทที่อยู่ใกล้ๆ เมืองฉางอันไม่ว่าเล็กใหญ่หรือยากจนร่ำรวย ข้าพอจะรู้จักทั้งสิ้น ที่ที่ท่านว่าน่าจะเป็นตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใช้เวลาเดินเท้าครึ่งวันจากทางใต้ของเมืองฉางอัน ทว่าเวลานี้ที่นั่นมิใช่สถานที่ที่เหมาะจะไปเท่าไรนัก”
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตำบลนั้นอยู่ทางทิศใต้จริงๆ ทำไมหรือ ที่นั่นมีอะไรถึงไปไม่ได้” หลูซื่อถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนกน้อยๆ นับแต่วันที่นางวางแผนหลบหนีก็คิดถึงตำบลเจี้ยนซิงแห่งนี้แล้ว เมื่อครั้งที่นางอาศัยอยู่ด่านในเคยไปมาหลายแห่ง เพียงแต่ว่าชานเมืองฉางอันล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรือง ในความทรงจำของนางมีแค่ตำบลเจี้ยนซิงที่สงบเรียบง่ายอยู่บ้าง
“ข้าจำได้ว่าช่วงสองปีมานี้ตำบลเจี้ยนซิงเริ่มเจริญขึ้น แต่ตอนนี้มีอันธพาลเจ้าถิ่นคนหนึ่ง มักก่อเรื่องระรานชาวบ้านแถวนั้นบ่อยๆ หากพวกท่านย้ายไปอาศัยที่นั่น เกรงว่าจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย”
พวกหลูซื่อได้ยินเขาพูดคำว่า ‘อันธพาลเจ้าถิ่น’ อดนึกไปถึงท่าทางนักเลงหัวไม้ของเจิ้งลี่ไม่ได้ พวกนางรู้สึกสะท้านเยือกที่ท้ายทอยไปตามๆ กัน ด้วยเหตุนี้หลูซื่อล้มเลิกความคิดที่จะปักหลักอยู่ที่นั่น นางเห็นว่าอาเซิงรู้เรื่องต่างๆ ดี เพิ่งคิดจะซักถามเขา ก็ได้ยินเขาอ้าปากพูดขึ้นก่อน
“ข้ารู้เช่นกันว่าฮูหยินเดินทางในคราวนี้ นอกจากจะลงหลักปักฐานแล้วยังต้องการไปหาบุตรชาย เหตุใดไม่คิดจะเสาะหาสถานที่ใกล้ๆ เมืองฉางอันเป็นที่พำนักอาศัยล่ะขอรับ”
หลูซื่อไม่อายที่จะเผยความจน กล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่กลัวว่าจะเป็นที่ขบขันของผู้มีพระคุณและผู้กล้าหรอกนะ จะขอกล่าวตามความจริงว่าค่าเดินทางบนตัวข้าเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ เดิมทีคิดจะหาชนบทเล็กๆ ที่ห่างไกลสักหน่อยแห่งหนึ่ง หาซื้อที่นาสองสามหมู่ จะได้ทำใบเขียนมือเพื่อขึ้นทะเบียนราษฏร์ได้สะดวก แต่ตอนนี้ครอบครัวของข้ามีกันห้าคน ถึงยังไม่นับบุตรชายที่สอบเข้ารับราชการคนนั้น ก็ต้องใช้สอยเงินทองเลี้ยงสี่ปากสี่ท้อง ถ้าไปอยู่ในที่ที่เจริญรุ่งเรืองเหล่านั้น เกรงว่าคงไม่มีปัญญาแม้แต่จะขึ้นทะเบียนราษฎร์”
ใบเขียนมือทะเบียนราษฎร์เทียบได้กับสิ่งยืนยันตัวตนของราษฎรในราชวงศ์นี้ และเป็นบันทึกที่ทางราชสำนักยึดถือเป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบการโยกย้ายถิ่นฐานและการนับจำนวนราษฎรทั้งแผ่นดิน แต่ช่องโหว่ใหญ่ที่สุดของมันคือสามารถจ่ายเงินเพิ่มซื้อที่นาไร้เจ้าของไว้ ก็จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อแซ่ได้
ทางราชสำนักมีนโยบายที่ผ่อนผันต่อชาวนามาก แน่นอนว่าถ้าเป็นราษฎรในกลุ่มช่างฝีมือกับพ่อค้าคิดจะทำไร่ไถนากลับมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น เมื่อเก้าปีก่อนตอนหลูซื่อซึ่งตั้งครรภ์อี๋อวี้อยู่พาบุตรชายสองคนมาถึงหมู่บ้านเค่าซานก็เปลี่ยนทะเบียนราษฎร์เหมือนกัน ทว่าใบเขียนมือที่นางติดตัวไปที่นั่นตอนนั้นมีการจ่ายเงินแก้ไขบางสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้น เอาเป็นว่าหากพวกนางอยากปักหลักอยู่ใกล้ๆ เมืองฉางอัน จะต้องอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่มีที่นาราคาถูก