ทดลองอ่าน – บทที่ 2
ทันทีที่หลูจวิ้นเข้ามาก็ตะโกนเรียกชื่ออี๋อวี้ แล้ววิ่งไปที่หน้าเตียงคว้าตัวนางชูขึ้นหมุนไปรอบห้อง นางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจทันควัน
อี๋อวี้นึกไม่ถึงว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกตัวลอยกลางอากาศเหมือนนั่งรถไฟเหาะอีกครา หลังจากตื่นตระหนกไปชั่วครู่ก็กุมสติได้ นางคิดในใจว่าหลูจวิ้นยังไม่ย่างสิบขวบ แต่เรี่ยวแรงดีเหลือหลาย ถึงตัวนางไม่หนัก แต่ใช่ว่าเด็กน้อยทั่วไปจะยกขึ้นหมุนไปมาได้ไหว อีกอย่างเขาเล่นซุกซนมาทั้งเช้ายังกระฉับกระเฉงปานนี้
หลูจื้อเห็นน้องชายเริ่มคึกคะนองอีกแล้ว รีบดุสั่งสอนเขาสองคำให้ระมัดระวังอย่าทำน้องสาวหล่นพื้น
หลูซื่อได้ยินเสียงเด็กๆ เล่นกันก็ยกข้าวปลาอาหารออกจากห้องครัว สั่งให้บุตรชายสองคนไปล้างมือ และอุ้มอี๋อวี้ไปนั่งที่ข้างโต๊ะเตี้ยๆ ตัวที่อยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว มือหนึ่งรัดตัวนางไว้ มือหนึ่งเปิดฝาโถกระเบื้องสูงราวฝ่ามือหนึ่งออก มีควันลอยฉุยๆ ออกมาโดยพลัน ทั้งที่อี๋อวี้หิวแล้ว แต่ความสนใจอยากรู้เกี่ยวกับอาหารการกินที่เรียบง่ายของชาวนาสมัยโบราณมีมากกว่า ก็เลยชะโงกหน้าไปดู
เห็นบนโต๊ะนอกจากโถสีน้ำตาลใบหนึ่งแล้วมีแค่ชามก้นตื้นสองสามใบกับขนมรังนก จานหนึ่ง มาตรว่าจะเป็นของกินพื้นๆ แต่มีกลิ่นหอมชวนกินยิ่ง บุตรชายสองคนซึ่งวิ่งเข้ามานั่งที่โต๊ะเหลือบดูแวบหนึ่ง หลูจวิ้นหน้าชื่นตาบานทันใดเป็นเชิงว่าอาหารของวันนี้ไม่เลวเลย
เขายิ้มหน้าแป้นอวดฟันขาวทั้งปาก เอ่ยกับหลูซื่อ “ท่านแม่ทำผักอบหม้อดินหรือนี่ ฮ่าๆ ได้กลิ่นก็รู้ว่าอร่อย ทำเอาข้าน้ำลายสอ” ว่าแล้วไม่รอให้มารดาอ้าปากพูด มือหนึ่งฉวยตะเกียบบนชามตรงหน้า เล็งไปที่โถหม้อดินแล้วคีบอาหารในนั้นมาใส่ปากโดยไม่กลัวโดนลวก อีกมือหนึ่งหยิบขนมรังนกชิ้นหนึ่งมากัดคำโตๆ เริ่มกินกับข้าวคำขนมรังนกคำไปเรื่อยๆ
อี๋อวี้แลมองท่าทางกินของเขาแล้วดูกับข้าวอีกที ก็รู้ว่าเป็นอาหารจำพวกผักต้มผักนึ่ง หลูซื่อคีบกับข้าวป้อนนางคำหนึ่ง แม้จะไม่มีความมันสักนิด กลับรู้สึกว่ารสชาติดีจริงๆ นางยังกัดขนมรังนกคำหนึ่งจากมือมารดา เพียงรู้สึกว่าแข็งมาก กัดชิ้นหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าจะเคี้ยวให้ละเอียด
หลูซื่อเห็นท่าเคี้ยวของนางแล้วขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “ในเรือนไม่มีแป้งหมี่แล้ว วันนี้แม่ไปที่ตลาดก็ติดเงินไปไม่พอ พรุ่งนี้ค่อยไปอีกที จะได้ซื้อแป้งกลับมาทำแป้งย่างให้เจ้า แม่ทำข้าวต้มให้เจ้ากินก่อนนะ อย่าเคี้ยวอีกเลยประเดี๋ยวจะฟันหัก”
หลูจื้อได้ยินคำพูดหลูซื่อก็พยักหน้าเห็นดีด้วย “นั่นสิขอรับ เสี่ยวอวี้ยังเล็ก กินแป้งนุ่มๆ จะดีกว่า สองสามวันนี้ไปซื้อจากตลาดก่อน อีกพักหนึ่งพอเกี่ยวข้าวในนาได้แล้ว ค่อยเอาไปจ้างคนโม่เป็นแป้ง” ด้านหลูจวิ้นกำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก ก็ผงกหัวหงึกหงักส่งเสียงเอออออู้ๆ อี้ๆ
อี๋อวี้สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอาทรต่อตนเองอย่างล้นเหลือในวาจาของพวกเขา รู้สึกลำคอตีบตันน้อยๆ พาให้ขนมรังนกแข็งกระด้างในปากยิ่งหอมอร่อยขึ้นทันใด
นางให้หลูซื่อป้อนข้าวไปพลาง ถือโอกาสมองสำรวจรอบๆ ไปพลาง เรือนหลังนี้ก่อสร้างด้วยดินและไม้ คานกับเสาซึ่งทำจากไม้ที่มิได้ผ่านการขัดผิวให้เรียบล้วนโผล่อยู่ข้างนอกให้คนมองเห็นได้ตั้งแต่แวบแรก พื้นผนังขรุขระไม่เรียบเนียนแบบผนังกระเบื้องเทียมของยุคปัจจุบัน ทว่าสะอาดสะอ้านมาก โต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ ตั้งอยู่ตรงข้างผนังทางซ้ายมือ คนทั้งครอบครัวจะนั่งบนเสื่อผืนใหญ่ที่ปูรองอยู่ใต้โต๊ะ ไม่มีเก้าอี้
ห่างจากโต๊ะไปสองก้าวเป็นห้องครัวที่หลูซื่อเข้าไปทำกับข้าว ตรงช่องประตูที่กว้างเท่าสองช่วงบ่าคนมีแค่ม่านกั้นที่สานจากวัสดุอะไรก็ไม่รู้ผืนหนึ่งแขวนอยู่ดูหนาหนักมาก สามารถใช้กันควันไฟได้เป็นอย่างดี เครื่องเรือนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้มีเพียงเตียงไม้กระดานที่วางอยู่เหนือแท่นหินกับตู้ไม้เก่าๆ สูงเท่าตัวคนอยู่ด้านข้าง ท่าทางน่าจะใช้เก็บเสื้อผ้าอาภรณ์