สองสามวันมานี้เริ่มต้นเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว หลูซื่อมักพาบุตรชายสองคนไปตรวจงานที่ทุ่งนา ป้องกันมิให้คนนอกหมู่บ้านพวกนั้นเล่นไม่ซื่อยักยอกธัญพืชของเรือนตนเอาไว้ และจูงวัวลากเกวียนขนกลับมา เตรียมรอทางการส่งคนมารับแล้วค่อยขายออกไปพร้อมกัน
พืชพรรณธัญญาหารที่ชาวนาเพาะปลูกในช่วงนี้ของทุกปี ทางการจะส่งคนมารับซื้อโดยเฉพาะ หากต้องการทุ่นเวลา พวกเขาจะขายให้แก่เจ้าหน้าที่แลกเป็นเงินบ้างไปเลย แต่บางคนยอมขนไปขายให้ร้านธัญพืชที่อื่นเพื่อจะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกหลายอีแปะ ส่วนพืชผลของเรือนนางที่ผ่านๆ มาล้วนขายให้เจ้าหน้าที่ทางการโดยตรง ปีนี้หลูซื่อเพียงกันไว้ส่วนหนึ่ง ตั้งใจจะโม่เป็นแป้งใช้เป็นอาหารหลักประจำวันของอี๋อวี้
ทุกคนในเรือนแบ่งงานกันอย่างชัดเจน แม้บุตรชายสองคนถึงวัยเข้าเล่าเรียนแล้ว แต่ตัวหลูซื่อนั้นมีพื้นฐานความรู้มิใช่ผิวเผิน จึงเป็นผู้สอนการอ่านการเขียนให้เอง บัดนี้ยังมีอี๋อวี้เพิ่มขึ้นอีกคน ด้านหลูจวิ้นไม่ชมชอบตำรับตำรา นับแต่ปีกลายทุกๆ วันคู่เขาจะอยู่ที่สำนักยุทธ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในตำบลช่วยงานสัพเพเหระพร้อมทั้งฝึกวิชาหมัดมวย ขณะที่หลูจื้อผู้ฉลาดหัวไวใฝ่ศึกษานั้นชี้แนะเพียงนิดก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยเหตุนี้ทุกวันเขาจะตื่นแต่เช้าต้อนวัวไปกินหญ้าที่เชิงเขาและอ่านตำราเรียนรู้ด้วยตนเอง
ครอบครัวของนางมีวัวไถนาตัวหนึ่งที่ล่ำสันแข็งแรงมาก ดังนั้นหญิงที่ออกเรือนแล้วในหมู่บ้านจะมายืมวัวไปเทียมเกวียนไปตลาดนัดบ่อยๆ หลูซื่อก็ไม่อิดออดบ่ายเบี่ยง ถึงจะให้ผู้อื่นยืมเปล่าๆ ทว่ามักไหว้วานคนพวกนั้นให้ช่วยทำโน่นทำนี่อย่างซื้อฟืนซื้อของเหมือนกัน
ตามธรรมดาหลูซื่อไม่ใคร่จะออกไปไหน ก่อนเริ่มเกี่ยวข้าว นางจะอยู่ในเรือนทำพวกงานฝีมือหาเงินจุนเจือครอบครัวเท่านั้น พออากาศร้อนขึ้นทีละน้อย นางให้อี๋อวี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อคลุมหนาออกแล้วใส่เสื้อป้ายข้างตัวสั้นผ้าเนื้อหยาบทว่าระบายอากาศดีสวมสบายกาย
หลูซื่อมีฝีมือเย็บปักเยี่ยมยอดจนน่าอัศจรรย์ใจ สำหรับคนยุคปัจจุบันที่เคยชินกับการสวมเสื้อผ้าที่ผลิตด้วยเครื่องจักรอย่างนาง ถึงชุดที่ตัดเย็บด้วยมือแบบนี้จะทำจากแพรพรรณชั้นเลว กลับมีแบบที่เรียบง่ายสง่างาม นางยังเคยสังเกตการแต่งกายของชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลูซื่อมิใช่ธรรมดา ฝีมือการเย็บปักของหลูซื่อนั้นเทียบเคียงได้กับหญิงปักผ้าที่ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะมาโดยเฉพาะ เห็นทีว่าก่อนหน้านี้สามีของนางจะต้องมีความสามารถอยู่หลายส่วนเป็นแน่แท้ ไม่เช่นนั้นมีหรือจะได้ตบแต่งสตรีที่ดูแลเหย้าเรือนได้ดีและช่ำชองงานฝีมือทุกแขนงอย่างหลูซื่อเป็นภรรยา
ถึงจะสนใจใคร่รู้เรื่องชีวิตคู่ของหลูซื่อ แต่สิ่งที่อี๋อวี้จับจ้องสนใจมากกว่าคืองานปักชั้นเลิศของนาง อย่าลืมว่านั่นเป็นการปักผ้าแบบซื่อชวนขนานแท้เลยทีเดียว
มารดาซึ่งพูดสำเนียงกวนจงชัดถ้อยชัดคำของนางคนนี้เป็นถึงผู้สืบทอดศิลปะผ้าปักสายนี้ นับแต่สี่ขวบเริ่มถือเข็มกับด้ายจนบัดนี้ก็เป็นระยะเวลาสามสิบปีแล้ว หากอยู่ในยุคปัจจุบันคงเป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากยิ่ง
พักก่อนอี๋อวี้ยังรบเร้าให้มารดาสอนนางปักผ้า แรกเริ่มหลูซื่อไม่ยินยอมเพราะกลัวนิ้วนางจะถลอกเป็นแผล ท้ายที่สุดทนเสียงออดอ้อนอ่อนหวานของบุตรสาวไม่ไหว เอาสะดึงและเข็มกับด้ายให้นางแล้วสอนปักพวกลายง่ายๆ อย่างขอไปที เพียงรอให้นางหมดความตื่นเต้นกับของใหม่แล้วล้มเลิกความตั้งใจไปเอง
สองสามวันแรกที่เพิ่งเริ่มปักผ้า อี๋อวี้ต้องเจอความลำบากอยู่บ้าง แม้นนางเรียนรู้ได้โดยไม่สิ้นเปลืองสมอง แต่ตอนเริ่มฝึกทำให้นิ้วมือนุ่มนิ่มทั้งบวมทั้งแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยวัยสี่ขวบคนอื่นคงโยนเข็มทิ้งเลิกทำไปแล้ว ทว่านี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนางที่มีวิญญาณเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ด้วยนางประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าในยุคสมัยนี้มีฝีมือมากขึ้นด้านหนึ่งก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงเพิ่มขึ้น