หลังจากซวงหงออกมาจากเรือนอี๋เหอของหลี่หลิงหว่าน นางก็ตรงกลับเรือนซื่ออันทันที
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหลับตา เอนกายบนเตียงเตา ในห้องอุ่นทิศตะวันออก
ซวงหงอยากจะเข้าไปรายงาน แต่พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ไม่กล้ารบกวน นางจึงหันตัวกลับไปอย่างแผ่วเบา ทว่าเพิ่งจะหันตัวกลับยังไม่ทันยกเท้าเสียด้วยซ้ำ นางก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “เจ้ากลับมาจากเรือนคุณหนูสามแล้วหรือ บาดแผลของคุณหนูสามตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ซวงหงได้ยินแล้วก็รีบร้อนหันกลับมายืนให้ดี จากนั้นจึงยิ้มแย้มเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างหูตาว่องไวเสียจริงเจ้าค่ะ บนพื้นปูพรมขนแกะหนาขนาดนี้แล้ว ฝีเท้าบ่าวเองก็วางเบาขนาดนั้น แต่ท่านกลับรู้ว่าบ่าวเข้ามา หูของท่านยังดีกว่าหูของบ่าวมากนักเจ้าค่ะ”
“เพ้ย!” ฮูหยินผู้เฒ่าถุยน้ำลายใส่นางคำหนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ ถนัดแต่พูดคำรื่นหูพวกนี้มาเลอะเลือนคนแก่อย่างข้าเสียจริง”
ทว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่ากลับมีความสุขยิ่ง ใครโดนประจบแล้วจะไม่มีความสุขบ้างเล่า บนใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มกว้างก่อนจะถามอีกครั้ง “สรุปบาดแผลของหว่านเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ซวงหงเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตอนไปหาหลี่หลิงหว่านออกมาอย่างหมดเปลือก ทั้งยังเอ่ยคำพูดที่หลี่หลิงหว่านพูดกับนางทุกคำให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “บ่าวรู้สึกว่าจู่ๆ คุณหนูสามก็รู้ความขึ้นมาไม่น้อย ในคำพูดยังแฝงไปด้วยความเคารพท่าน กับบ่าวเองก็มีความเกรงใจ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเจ้าค่ะ”
จะไม่แตกต่างได้อย่างไร แน่นอนว่าแต่ก่อนหลี่หลิงหว่านมีแต่สีหน้ายโสโอหังให้กับบ่าวรับใช้อย่างพวกนาง กระทั่งกับฮูหยินผู้เฒ่าเองนางก็ยังเย่อหยิ่งใส่ด้วย เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอยู่แล้ว บางทีจึงอดมีโทสะกับคุณหนูสามไม่ได้ หากในวันหน้าคุณหนูสามยังคงเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนนี้ เกรงว่าเวลาเพียงไม่นานก็คงทำให้ความรักความเอ็นดูเหล่านั้นที่มีอยู่ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าหมดไป
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังคำพูดของซวงหงแล้ว ใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไร บนข้อมือขวาของนางมีสร้อยลูกประคำอำพันอยู่เส้นหนึ่ง ในยามนี้นางถอดสร้อยลูกประคำออกมาวางบนมือ ใช้นิ้วโป้งเลื่อนไปทีละเม็ดๆ อย่างเชื่องช้าพร้อมเอ่ย “นางอายุแปดขวบแล้วก็ควรจะรู้ความได้แล้วกระมัง เด็กคนอื่นๆ ที่อายุเท่านางต่างเป็นทั้งเพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาดกันนานแล้ว งานเย็บปักถักร้อยก็ล้วนทำเป็น ทั้งคำพูดคำจาหรือกิริยามารยาทล้วนเหมาะสม แต่เจ้าดูนางสิ เรื่องพวกนั้นจะไม่เข้าใจก็แล้วไปเถอะ แต่คราก่อนที่ข้าพานางไปร่วมงานเลี้ยงของจวนก่วงผิงโหว* นางถึงกับผลักคุณหนูจากจวนไหวหนิงป๋อที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้มลง ไหวหนิงป๋อใช่คนที่พวกเราจะล่วงเกินได้เสียที่ใด โชคดีที่ฮูหยินของไหวหนิงป๋อเป็นคนพูดง่าย เพียงบอกว่าเป็นการเล่นกันระหว่างเด็กสองคน ย่อมมีการพลั้งเผลอผลักกันล้มไปบ้าง จึงไม่ได้เอาเรื่องอะไรกับพวกเรา มิเช่นนั้นหากอีกฝ่ายคิดเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็คงได้รับบทเรียนไม่น้อยแน่ เป็นเพราะเรื่องนี้ ระยะนี้ถ้ามีงานเลี้ยงอะไร ในใจข้าก็ไม่อยากจะพานางไปด้วยเลย กลัวนางจะหาเรื่องมาให้ข้าอีก”
ซวงหงได้ยินแล้วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม นางเอ่ยว่า “ยามนั้นคุณหนูสามอายุยังน้อย ไม่แปลกหากจะกระทำเรื่องไม่ยั้งคิดไปบ้าง ทว่ายามนี้นางมิได้รู้ความขึ้นมาแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวได้ยินคำพูดคำจาเมื่อครู่ของนางราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งกิริยาวาจาล้วนมีมารยาทเป็นที่สุด หากท่านไม่เชื่อ รอดูพรุ่งนี้ตอนที่คุณหนูสามมาคารวะท่านก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนเรื่องเพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาด เย็บปักถักร้อย คุณหนูสามเพิ่งจะแปดขวบเท่านั้นเอง เริ่มศึกษาตอนนี้ก็ไม่ช้าเกินไป เรื่องพวกนี้ในวันหน้านางย่อมทำเป็นหมดทุกสิ่งแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ไว้ว่ากันเถิด” เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อคำพูดของซวงหง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของนางจึงล้วนเรียบเฉย
ซวงหงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่ยืนรวบมืออยู่ที่ด้านข้างนิ่งๆ