ชิงหลวนเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เมื่อค่อยๆ ค้นพบว่าผู้คนที่สัญจรบนถนนฉางอันมีจำนวนน้อยลงทุกทีถึงได้ตระหนักด้วยความตกใจว่าดึกมากแล้ว
ไม่ไกลกันนี้ก็คือสะพานศิลาโค้งสะพานนั้น ผิวน้ำมีแสงโคมกระจัดกระจาย ริมสะพานกลับไร้คนสัญจรแล้ว
ชิงหลวนนั่งอยู่ริมแม่น้ำนานเพียงไรก็สุดรู้ นางรู้สึกว่าที่ข้างกายคล้ายมีคน เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนเมื่อครู่ที่ถูกเรียกขานว่า ‘พี่เฟิ่ง’
“ไยท่าน…จึงกลับมาอีกเล่า” วาจานี้หลุดพ้นปาก เสียงกลับมิได้นุ่มเบารื่นหูเท่าก่อนหน้านี้ แต่ฟังดูแหบแห้งอย่างรุนแรง
เขานั่งลงข้างนาง แต่จงใจรักษาระยะห่างไว้ วางโคมดอกบัวไว้บนฝ่ามือ ก่อนกล่าวว่า “กลับถึงวังแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ลอยโคมนี้ จึงได้วกกลับมา ไม่คาดว่าเจ้าก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
ชิงหลวนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ลอยเถิด”
เขาหันหน้ามามองนาง “เหตุใดจึงร่ำไห้เสียปิ่มจะขาดใจเยี่ยงนี้”
ชิงหลวนตอบเสียงเบา “เพราะว่า…คิดถึงมารดา”
นางมิใช่คนอ่อนแอ เพียงแต่วันนี้เห็นบรรยากาศยามดึกไร้ผู้คนและแสงโคมเลือนรางนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะบอกเล่าความขมขื่นในใจออกมา
“สามารถคิดถึงได้อันที่จริงเป็นเรื่องดี” ไม่คาดว่าคนผู้นั้นจะเงยหน้ามองขอบฟ้าอันไร้จุดสิ้นสุดพลางกล่าวว่า “บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าควรเริ่มคิดถึงจากตรงจุดใด”
ชิงหลวนตระหนกเล็กน้อย อยากจะกล่าวบางอย่างเป็นการปลอบใจเขา แต่ครั้นคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นการเสียแรงเปล่า
“เจ้ามีนามว่า…ชิงหลวน?”
“ถูกต้อง วันนี้ก็นับว่าได้รู้จักกันแล้ว มิทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไร”
“เฟิ่งหวง”
ชิงหลวนอึ้ง แล้วจึงเอ่ยทวน “เฟิ่งหวง?”
นางเรียกตนเองว่าชิงหลวน เขาถึงกับมีนามว่าเฟิ่งหวง หากมิใช่ก่อนหน้านี้ได้ยินฝูเป่ากับโต้วหวั่นเอ๋อร์เรียกเขาว่า ‘พี่เฟิ่ง’ ชิงหลวนจะต้องคิดว่าคนหนุ่มผู้นี้กำลังล้อเลียนนางเล่นอยู่เป็นแน่
“มิใช่ ‘หวง’ จากคำว่า ‘หงส์ฟ้า’ แต่เป็น ‘หวง’ จาก ‘หวังปัญญาชนผู้เป็นเลิศ’” เขาไม่คิดจะอ้อมค้อมกับเรื่องนี้ เปลี่ยนมาพูดว่า “ในเมื่อล้วนเป็นผู้เสียใจ อารมณ์ไม่สู้ดี ก็ลองเล่าเรื่องที่ตนเองเสียใจดูสักหน่อยเถิด ถึงอย่างไรหลังจากวันนี้เจ้ากับข้าก็จะเป็นเพียงคนผ่านทางกันแล้ว”
ชิงหลวนพยักหน้าตอบรับ “ได้”
เฟิ่งหวงมองผิวน้ำพลางกล่าวเชื่องช้า “วงศ์ตระกูลของข้าเดิมเป็นคหบดีอันดับหนึ่งในท้องถิ่น ตอนยังเล็กทั้งบ้านปรองดองเป็นสุข นึกว่าวันเวลาเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้ยาวนาน กลับไม่คาดว่าจะเจอโจรบุกปล้นกะทันหัน บ้านแตกสาแหรกขาดในชั่วข้ามคืน พวกข้าที่รอดชีวิตถูกโจรชั่วจับตัวไว้ ในคืนที่มีหิมะตกต้องเดินเท้าเปล่าเป็นหนทางยาวไกลยิ่ง…ข้าเห็นกับตาตนเองว่าพี่ชายถูกขัง พี่สาวถูกกระทำย่ำยี คนในตระกูลต้องตกเป็นทาส…”
เฟิ่งหวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด สองตามองไปทางด้านหน้านิ่งๆ คล้ายเป็นความนิ่งเงียบหลังจากโศกเศร้าเสียใจมายาวนาน
ชิงหลวนฟังแล้วให้ตกใจ แต่ก็จนใจที่บัดนี้เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วน เรื่องราวเยี่ยงนี้มีอยู่มากมายเหลือเกิน
เฟิ่งหวงก้มหน้ากล่าวว่า “ไม่กี่ปีก่อนข้าถึงกับคิดอยู่ตลอดว่าเมตตาธรรมที่ใหญ่ล้นที่สุดในโลกอาจจะเป็นการไม่ต้องมาเกิดยังโลกมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้”
ชิงหลวนฟังแล้วเศร้าใจ นางกล่าวเสียงค่อย “ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้ มารดาข้าเดิมทีเป็นนักแสดงหุ่นเงา หลังแต่งงานกับบิดาข้า ผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยมีความสุข เจ็ดปีก่อนสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดคือการไม่เคยเกิดมาบนโลกนี้”
เฟิ่งหวงมองมาที่นาง “เช่นนั้นปัจจุบันเล่า”
ชิงหลวนมองแสงโคมเต็มครรลองสายตา ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนตอบว่า “ปัจจุบันได้เรียนบางอย่างจากผู้ทรงปัญญาท่านหนึ่ง รู้ว่าหกทิศแปดดินแดนและโลกมนุษย์อันเวิ้งว้างนี้ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีชะตาลิขิต แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ การที่มารดาสิ้นใจจากไปโดยมิทันได้พบหน้าเลยสักหน ปมนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ในใจข้าก้าวข้ามไปไม่ได้”
“เจ้าดูเถิดว่าในแม่น้ำนี้มีโคมดอกบัวลอยอยู่เต็มไปหมด มนุษย์โลกล้วนเชื่อกันว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่บนดอกบัว สามารถนำพาสรรพชีวิตข้ามไปสู่ฟากฝั่ง” เฟิ่งหวงจับมือของชิงหลวนให้วางโคมดอกบัวในมือลงในแม่น้ำอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “แต่โคมดอกบัวของผู้ใดเล่าจะสามารถนำพาข้าในชาตินี้ข้ามไปถึงฟากฝั่งได้”
คนทั้งสองปล่อยมือพร้อมกัน โคมดอกบัวถูกลมพัดลอยไป ส่องแสงรำไรอยู่บนผิวน้ำ
เวลานี้ถนนฉางอันทั้งเส้นมีแสงโคมริบหรี่ มีเพียงโคมดอกบัวในแม่น้ำที่ยังไม่ดับ ประหนึ่งว่าสามารถส่องสว่างชาตินี้ภพนี้ได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.