ด้านหน้าเรือนไม้ไผ่หนึ่งแถวที่ปลูกอยู่ตรงเชิงเขาถ้ำพันจิ้งจอก ซูม่านม่านผู้มีสีหน้าหยิ่งยโสกำลังชี้มือไปยังเรือนไม้ไผ่หลังที่อยู่ริมสุดแล้วพูดกับซูเพียนจื่อ
“ก็คือตรงนี้ เจ้าเข้าพักแล้วก็ไปขอตำราวิชากลลวงเบื้องต้นจากศิษย์คนอื่นที่พำนักอยู่ข้างเคียงมาอ่านดู ข้ามีงานรัดตัวยิ่ง ไม่ว่างมาเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ของเจ้าหรอก มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามคนอื่นเอาเอง ที่นี่จะมีการสอบย่อยทุกสิบวัน อีกสามวันข้างหน้าก็ถึงกำหนดสอบแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจงไปหาข้าเพื่อเข้าสอบประเมินผล แต่ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป อย่าได้เสียเวลาคนอื่นๆ”
ซูม่านม่านพูดจบก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
พูดแค่นี้เนี่ยนะ?!
ซูเพียนจื่อรู้สึกฉุนอยู่บ้าง ขณะจะหันหน้าไปพูดกับฝูอวิ๋น ประตูเรือนไม้ไผ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างที่พักใหม่ของตนก็พลันถูกผลักเปิด จากนั้นสาวน้อยหน้ากลมผู้หนึ่งก็เดินออกมา
“เจ้าเป็นศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่หรือ ข้ามีชื่อว่าซูเจินเจินนะ เจ้าล่ะชื่อว่าอะไร” สาวน้อยหน้ากลมแย้มยิ้มดุจบุปผา ดูหวานใสน่ารักยิ่ง
“ข้ามีชื่อว่าซูเพียนจื่อ เจ้าก็เป็นศิษย์ระดับต้นเหมือนกันหรือ” ซูเพียนจื่อกล่าว
“ใช่แล้ว” จบคำรอยยิ้มของซูเจินเจินก็หม่นหมองลง “คนที่พูดกับเจ้าเมื่อครู่นี้คืออาจารย์อาม่านม่านกระมัง ทั้งที่นางโตกว่าข้าแค่สองปี แต่กลับได้เป็นศิษย์ระดับกลางตั้งสามปีแล้ว”
ก็แค่หลอกคนเก่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าเลื่อมใสกันเล่า! ซูเพียนจื่อคิดแย้งอยู่ในใจ
จากนั้นซูเจินเจินก็เอาตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นของตนมาให้ซูเพียนจื่อยืมอย่างมีน้ำใจยิ่ง ตำรานั้นมีความหนาสูสีกับหนังสือเรียนวิชาภาษาจีนชั้นมัธยมเลยทีเดียว เพียงแต่ตัวอักษรใหญ่กว่าเล็กน้อย เนื้อหาล้วนเกี่ยวกับประวัติของสกุลซู เทพเจ้าแห่งกลลวง รวมไปถึงเกร็ดชีวิตของอัจฉริยบุคคลในสกุลซู
เมื่อเห็นซูเพียนจื่ออ่านอย่างเพลิดเพลิน ซูเจินเจินก็เกาศีรษะพูดด้วยความกลุ้มใจ “ข้าท่องตำราเล่มนี้มาสามเดือนแล้ว ระหว่างนั้นไปสอบย่อยมาหกครั้งแต่ก็ไม่ผ่านสักครั้งเดียว อาจื่อ การสอบย่อยในอีกสามวันข้างหน้าเจ้าก็อย่าไปเลยจะดีกว่า เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ ต่อให้ไม่เข้าสอบสักสองสามครั้งก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”
ซูเพียนจื่อกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ย “การสอบย่อยก็คือท่องตำราเท่านี้เองน่ะหรือ” ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองรับมือกับการสอบมานานปี หากจะอ่านตำราเล่มนี้ให้ปรุโปร่งภายในสามวันก็ไม่ได้ยากอะไรเลย
“ก็ใช่น่ะสิ นี่คือการสอบขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว แต่ข้ามีคุณสมบัติไม่ดี สามเดือนก่อนเพิ่งจะเริ่มมาเรียนที่นี่ หากดูจากความคืบหน้าที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าถึงจะกลายเป็นศิษย์ระดับกลางไปได้” ซูเจินเจินแสนจะท้อแท้ใจ
นางเป็นบุตรหลานสกุลซูสายรองๆ สักสาย สกุลซูก็ไม่ต่างจากตระกูลโบราณอื่นๆ ที่บุตรหลานจำนวนมากไม่มีกระทั่งสัญลักษณ์เมฆมงคลบนแขน หรือไม่เชื้อสายก็เจือจางจนแม้แต่สัญลักษณ์สายโลหิตก็ยังเลือนหายไป คนเช่นนี้ล้วนต้องถูกส่งตัวออกจากถ้ำพันจิ้งจอก นับแต่นี้ไปใช้ชีวิตเช่นชาวบ้านสามัญ
สัญลักษณ์สายโลหิตบนแขนขวาของซูเจินเจินเลือนรางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว หากไม่ใช่เพราะบนแขนซ้ายของนางมีสัญลักษณ์เมฆมงคลสีเหลืองอ่อนที่แสดงถึงพรสวรรค์ในการฝึกวิชาสายธาตุดินอยู่ นางก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสกุลซูด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะได้เรียนรู้วิชากลลวงอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของสกุลซู