หลังจากได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายประสบพบเจอมา ซูเพียนจื่อก็ลอบถอนใจ นี่มันแบบฉบับของลูกศิษย์หัวช้าไม่ใช่หรือไร น่าสงสารจริงเชียว เห็นกันอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ แต่กลับถูกบังคับให้ท่องตำราเสียนี่ จะว่าไปต่อให้อีกฝ่ายท่องประวัติตระกูลได้คล่องปร๋อแล้วมีประโยชน์อะไร นางนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กสาวอย่างซูเจินเจินจะไปหลอกผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ซูเจินเจินลอบมองซูเพียนจื่ออยู่หลายหน ก่อนจะพูดอย่างกระอึกกระอักว่า “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่ชอบหลอกกันไปหลอกกันมา เจ้ารับปากว่าต่อไปจะไม่หลอกลวงข้าได้หรือไม่ ข้าเองก็ขอสาบานว่าจะไม่มีวันหลอกลวงเจ้า”
ซูเพียนจื่อพลันอับจนถ้อยคำ เห็นทีว่าเมื่อก่อนซูเจินเจินต้องถูกผู้อื่นหลอกเล่นเป็นประจำแน่ ถึงได้พุ่งความสนใจมาที่ ‘เด็กใหม่’ อย่างนาง หมายจะหาสหายแนวร่วมสักคนที่ไว้วางใจได้
ซูเพียนจื่อรู้สึกได้ว่าซูเจินเจินอยากจะเป็นสหายสนิทของนางจริงๆ เพราะหากอีกฝ่ายกำลังเล่นละครอยู่ล่ะก็ อาศัยฝีมือการแสดงและกลลวงที่ล้ำเลิศถึงขั้นนี้ อีกฝ่ายก็คงจะไม่เป็นศิษย์ระดับต้นอยู่นี่หรอก
แต่สำหรับคำว่า ‘จะไม่มีวันหลอกลวง’ กันนั้น…ซูเพียนจื่อขอสงวนท่าทีไว้ก่อนก็แล้วกัน
“ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงเจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายด้วยใจจริง ข้าก็จะไม่มีวันประสงค์ร้ายหลอกลวงเจ้า” ซูเพียนจื่อตัดสินใจที่จะเอาอย่างวิธีของฝูอวิ๋น
อุปนิสัยเช่นซูเจินเจินย่อมจะฟังเลศนัยในคำพูดนี้ไม่ออก นางจึงแสนจะยินดีปรีดา รีบเปล่งคำสาบานอย่างจริงจัง “ขอสวรรค์เป็นพยาน ข้าจะไม่มีวันหลอกลวงอาจื่อ!” นางไม่ได้สาบานต่อเทพเจ้าแห่งกลลวง เพราะทุกคนในถ้ำพันจิ้งจอกต่างรู้กันดี การสาบานต่อเทพเจ้าแห่งกลลวงนั้นเท่ากับกำลังบอกอีกฝ่ายว่า… ‘ข้าจะไม่ทำตามคำสาบานแน่นอน’
เมื่อมีคำมั่นสัญญาของซูเพียนจื่อแล้ว ซูเจินเจินที่หมดห่วงเสียทีก็แทบจะควักหัวใจกับไส้พุงออกมา แบ่งปันทุกสิ่งอย่างของตนกับซูเพียนจื่อ ทำเอาซูเพียนจื่อชักรู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่ตนเองมีความคิดเยี่ยงคนถ่อย
ซูเจินเจินสาละวนเข้าๆ ออกๆ ไม่ช้าก็ช่วยซูเพียนจื่อจัดเรือนใหม่เสร็จเรียบร้อย เรือนไม้ไผ่เล็กๆ ที่เรียบสมถะนี้ เมื่อผ่านการตกแต่งของสาวน้อยทั้งสองก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ขึ้นทันตา
พอนึกได้ว่าซูเพียนจื่อยังต้องตั้งใจอ่านตำรา ซูเจินเจินผู้ช่างเอาใจใส่ก็ขอตัวออกไปทำธุระของตนเอง
ในที่สุดซูเพียนจื่อก็มีโอกาสได้หารือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพบปะคนสกุลซูในวันนี้กับฝูอวิ๋น
“คันฉ่องแก้วผลึกรูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงบานนั้นเป็นของวิเศษอะไรสักอย่างของสกุลซูใช่หรือไม่ มันแค่ใช้ตรวจพิสูจน์สายเลือดเท่านั้นเองหรือ”
เพียงนึกถึงสายตาที่ผู้เฒ่าทั้งหลายรวมถึงท่านปู่ซูถิงหยวนใช้มองนางในตอนที่รัศมีสีม่วงปรากฏอยู่ นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ราวกับทุกสิ่งของตนได้ถูกผู้อื่นมองทะลุจนหมดสิ้นแล้ว