ฝูอวิ๋นยิ้มยิงฟันก่อนตอบ “คันฉ่องบานนั้นมีนามว่า ‘คันฉ่องมายาจันทร์ม่วง’ สามารถส่องเห็นตัวตนที่แท้ เป็นหนึ่งในสามสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูของพวกเรา”
“ส่องเห็นตัวตนที่แท้? สามสุดยอดของวิเศษ?”
“ใช่แล้ว ส่องเห็นตัวตนที่แท้…พูดง่ายๆ ก็คือสามารถอาศัยคันฉ่องบานนี้มองเห็นส่วนลึกในใจจริงของคนผู้หนึ่ง รวมไปถึงความทรงจำในอดีตและโชคชะตาในอนาคต”
“โอ้โห! ร้ายกาจเพียงนี้เชียว มองทะลุอดีตกับอนาคตได้ด้วยหรือนี่!” ซูเพียนจื่อตื่นตะลึงยิ่ง
“ก็ไม่ร้ายกาจเท่าไรนักหรอก จะมองเห็นได้กี่มากน้อยขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้ใช้และเป้าหมายที่ต้องการจะดูนั้นมีความสามารถห่างไกลกันแค่ไหน นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากที่ส่งผลกระทบ อีกอย่าง…”
“อีกอย่างอะไร”
แววตาของฝูอวิ๋นล่องลอยอยู่บ้าง “มองอดีตกับอนาคตให้แจ่มชัดมีหรือจะยากเข็ญเท่ามองตัวตนที่แท้ให้ชัดแจ้ง การจะเข้าใจสิ่งที่คนผู้หนึ่งประสบมานั้นง่าย ทว่าการจะเข้าใจส่วนลึกในใจของคนผู้หนึ่ง โดยเฉพาะหัวใจของตนเองนั้นสิจึงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในโลก”
มีปรัชญาไม่หยอกเลยนะนี่!
ซูเพียนจื่อคล้ายเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด นางพลันพบว่าฝูอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง ไม่สิ! ต้องบอกว่าราวกับเปลี่ยนเป็นม้าอีกตัวไปแล้ว
“เอ๋? เช่นนั้นเรื่องที่ข้าถูกปิดผนึกพรสวรรค์ พวกเขาก็รู้หมดแล้วน่ะสิ” ซูเพียนจื่อพลันฉุกคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา
“พวกเขามองไม่เห็นหรอก เพราะผนึกบนร่างของท่านเกิดขึ้นจากสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูอีกชิ้นที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ดังนั้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปิดผนึกจึงถูกอานุภาพของมันซ่อนเร้นไปเอง” ฝูอวิ๋นเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกครั้ง
“เวลาเจ้าจะบอกอะไร อย่ามาพูดทีละท่อนจะได้หรือไม่ บอกข้ามาตรงๆ เลยว่าสุดยอดของวิเศษประจำสกุลซูทั้งสามชิ้นคืออะไร มีประโยชน์ใช้สอยอย่างไรบ้าง และเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร อีกอย่างของวิเศษที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ก็คือชิ้นที่ปิดผนึกพรสวรรค์ของข้านั่นใช่หรือไม่ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะหามันพบได้เล่า” ซูเพียนจื่อระดมยิงคำถามเป็นชุดราวกับรัวกระสุน
“ท่านก็ไม่นับว่าทึ่มทื่อนัก มิผิด! ของวิเศษที่บิดาท่านทิ้งไว้ก็คือสิ่งที่ปิดผนึกพรสวรรค์ของท่านชิ้นนั้น และก็เป็นหนึ่งในสามสุดยอดของวิเศษสกุลซูชิ้นที่มีอานุภาพสูงสุดและลึกลับที่สุดด้วย ทุกครั้งที่มันปรากฏตัวล้วนมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนเดิม ในอดีตเคยเป็นสร้อยคอ คทา มงกุฎ แจกันวิเศษ กระบี่ยาว และอื่นๆ…ซึ่งทุกครั้งที่มันปรากฏตัวก็ล้วนมาพร้อมกับการถือกำเนิดของสิบแปดมงกุฎผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเสมอ ท่านอ่านตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นให้ดีๆ ในนั้นมีเอ่ยถึงเกร็ดชีวิตของผู้เป็นเจ้าของมันทุกรุ่นเลย”
“ท่านพ่อข้าก็เคยเป็นเจ้าของมันหรือ เช่นนั้นตอนมันอยู่ในมือของท่านพ่อข้ามีรูปลักษณ์อย่างไรเล่า แล้วตกลงมันมีชื่อเรียกว่าอะไรกันแน่” ซูเพียนจื่อถามพร้อมสองตาที่เป็นประกายระยิบระยับ
“มันไม่มีชื่อหรอก ต่อมาคนสกุลซูจึงเรียกมันว่า ‘ไร้นาม’ เสียเลย บิดาของท่านไม่อาจนับเป็นเจ้าของมัน เพียงแต่วาสนาชักพาให้รู้สึกถึงการคงอยู่ของมัน รวมทั้งควบคุมใช้งานพลังของมันได้บางส่วน” ฝูอวิ๋นตอบเรียบๆ
“กระทั่งท่านพ่อข้าก็ยังไม่ได้ถือครองมันอย่างแท้จริง ซ้ำไม่รู้ด้วยว่ามันจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ ปรากฏตัวแล้วจะเปลี่ยนรูปลักษณ์มาเป็นอะไร เช่นนี้จะให้ข้าหาอย่างไรกัน เจ้าแกล้งข้าชัดๆ!” ซูเพียนจื่อขบคิดจนหัวโต
แต่ฝูอวิ๋นกลับพูดตอบกลับมาอย่างสบายอารมณ์ “หากมีวาสนา ท่านกับมันย่อมจะได้พานพบกันแน่”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.พ. 64