“ขอเพียงจุดเทียนไขได้หกสิบเล่มขึ้นไปภายในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจก็ใช้ได้แล้ว? มีกฎหรือข้อจำกัดอื่นอีกหรือไม่” ซูเพียนจื่อถามย้ำกับซูเจินเจินและฝูอวิ๋นเพื่อความแน่ใจ
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าต่างส่ายหน้าพร้อมๆ กัน
“เยี่ยม! ถ้าอย่างนั้นอีกสิบวันข้างหน้า พวกเจ้าก็รอฉลองให้กับคะแนนเต็มอีกครั้งของข้าได้เลย!” ซูเพียนจื่อมั่นอกมั่นใจเต็มที่
ซูเจินเจินกับฝูอวิ๋นมองหน้ากันไปมา ต่างรู้สึกว่านางกำลังฝันกลางวัน
ไม่ช้าสิบวันก็ผ่านพ้นไป วันสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นมาถึงตามกำหนดอีกครั้ง
การสอบสนามนี้ซูเจินเจินรู้ตัวว่าอาศัยพลังวัตรในปัจจุบันของตนไม่มีทางจะสอบผ่านเป็นอันขาด เดิมทีจึงคิดว่าจะไปชมความครึกครื้นและสัมผัสบรรยากาศอยู่ที่นอกตำหนักเท่านั้น สำหรับนางหากคิดจะสอบให้ผ่าน อย่างน้อยก็ยังต้องฝึกปรืออีกสองสามเดือน
ทว่าสุดท้ายนางก็ตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษเพื่อไปเข้าสอบเป็นเพื่อนซูเพียนจื่อ เพียงเพราะต้องการจะแสดงออกว่าตนสนับสนุนสหาย แม้ในใจจะรู้สึกว่าซูเพียนจื่อไม่อาจผ่านด่านนี้ได้ก็ตาม
ซูเจินเจินคิดเช่นนี้…หากอาจื่อสอบย่อยไม่ผ่าน ตนก็ยังปลอบใจนางได้ การสอบย่อยซึ่งแม้แต่ตนที่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ก็ยังสอบตก อาจื่อสอบไม่ผ่านก็ไม่ต้องเสียใจไปนัก
เมื่อเด็กสาวทั้งสองปรากฏตัวที่นอกสนามสอบ สิ่งที่ต้อนรับพวกนางก็คือเสียงสูดหายใจที่ดังขึ้นลงต่อเนื่องระลอกหนึ่ง…
คนทั้งหมดล้วนนึกว่าซูเพียนจื่อจะไม่เข้าร่วมการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นต่อจากสนามที่สิบห้าแล้วเสียอีก เพราะนี่คือการหาความอัปยศใส่ตัวชัดๆ!
ทว่านางกลับปรากฏตัวเสียได้ ทั้งยังมีท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มที่อีกด้วย
ซูเทียนหวาที่มาเข้าสอบเช่นกันก็ตกตะลึงไม่ใช่น้อย
เนื่องจากปราชัยในการสอบย่อยเมื่อสิบวันก่อน หลายวันมานี้เขาจึงรู้สึกคาใจมาตลอด ผู้อาวุโสรองซูหวังจะให้เขาพัฒนาโดยอาศัยการตระหนักรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยชี้แนะว่าที่แท้เขาพ่ายแพ้ในจุดใด
ในใจเขาแสนจะไม่ยอมรับนับถือ ทั้งที่รู้อยู่ว่าข้อสอบนั้นท่านประมุขออกโจทย์เอง และผู้ที่ตรวจข้อสอบก็คือโจวโม่ศิษย์สายตรงคนโตของท่านประมุข ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องยุติธรรมเคร่งครัดในกฎระเบียบ ไม่มีลำเอียงเข้าข้างใครแม้สักนิดแน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งชี้ว่าตนได้พ่ายแพ้ให้แก่ซูเพียนจื่อจริงๆ
ความภาคภูมิใจของเขาในฐานะอัจฉริยะแถวหน้ารุ่นหนุ่มสาวจึงถูกทิ่มแทงอย่างลึกล้ำ เครื่องปลอบใจเพียงอย่างเดียวก็คือซูเพียนจื่อไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ความสำเร็จในวันข้างหน้าไม่มีทางที่จะเทียบเขาได้
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้ายังกล้ามา” ซูเทียนหวาเดินขึ้นหน้าไปพร้อมสีหน้าอันเรียบเฉย เขารู้ว่าศิษย์ระดับต้นจำนวนมากกำลังลอบพิจารณาเขาอยู่ ยิ่งในเวลาเช่นนี้เขาก็ยิ่งต้องรักษาบุคลิกอันผ่าเผยไว้
ก็แค่เด็กสาวที่ถูกลิขิตให้ต้องหยุดฝีเท้าอยู่ที่การเป็นศิษย์ระดับต้นเท่านั้น เหตุใดเขาจะต้องเสียกิริยาเพราะนางด้วยเล่า
ซูเพียนจื่อยักไหล่ตอบ “เรื่องที่เจ้านึกไม่ถึงยังมีอีกเยอะไป”