ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสรองซู ทั้งผู้อาวุโสใหญ่หานกับซูป๋ออวิ๋นสองศิษย์อาจารย์ต่างก็อยากรู้ยิ่งนัก
โจวโม่มองซูถิงหยวนผู้เป็นอาจารย์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงได้เอ่ยปาก “โจทย์ข้อสุดท้ายถามว่า…คำพูดใดหลอกผู้อื่นสำเร็จได้ง่ายที่สุด”
ซูถิงหยวนลูบเคราถอนหายใจก่อนกล่าว “นี่ไม่ใช่เนื้อหาจากบรรดาตำราในถ้ำพันจิ้งจอก แต่เป็นคำถามที่ประมุขรุ่นก่อนเคยถามข้า ตอนนั้นข้าเค้นสมองขบคิดอยู่สามเดือนเต็มๆ กว่าจะคิดออกในท้ายที่สุด นึกไม่ถึงเลยว่า…”
กระทั่งซูถิงหยวนยังต้องเค้นสมองขบคิดถึงสามเดือน คำตอบนี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ผู้อาวุโสรองซู ผู้อาวุโสใหญ่หาน และซูป๋ออวิ๋นต่างก็มองหน้ากันไปมา สุดท้ายผู้อาวุโสรองซูก็เป็นผู้เอ่ยถามโจวโม่ “เทียนหวาเขาตอบว่าอย่างไร”
“บนกระดาษคำตอบของเทียนหวาเขียนว่า…คำพูดที่อีกฝ่ายอยากจะได้ยินมากที่สุด” ในดวงตาของโจวโม่เผยแววชื่นชม ซูเทียนหวาในฐานะศิษย์ระดับต้นคนหนึ่งสามารถรู้ซึ้งได้ถึงขั้นนี้นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
ผู้อาวุโสรองซูผงกศีรษะติดๆ กันพลางกล่าว “เทียนหวาตอบได้ไม่เลวเลย แล้วเด็กสาวนั่นตอบว่าอย่างไร” ชั่วขณะสั้นๆ เขาเองก็คิดหาคำตอบที่ดียิ่งกว่านี้ไม่ออกเช่นกัน
โจวโม่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คำตอบของคุณหนูเพียนจื่อคือ…ความจริง” หากไม่ใช่เพราะซูเพียนจื่อสามารถให้คำตอบนี้ออกมาได้ภายในเวลาอันสั้นเช่นนั้น ด้วยฐานะศิษย์สายตรงคนโตของประมุข อีกทั้งเป็นศิษย์ระดับสูงที่อยู่เหนือกว่าซูเพียนจื่อถึงสองระดับเต็มๆ โจวโม่ย่อมจะไม่เรียกขานนางว่า ‘คุณหนูเพียนจื่อ’ อย่างเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้เป็นอันขาด
นี่คือการยอมรับอย่างหนึ่ง ยอมรับกับศักดิ์อันสูงส่งในฐานะบุตรหลานสกุลซูสายหลักของซูเพียนจื่อ
ซูป๋ออวิ๋นมีสีหน้างุนงง ความถนัดของเขาคือการฝึกวิชายุทธ์ หากเปรียบฝีมือในวิชากลลวงกับศิษย์สกุลซูคนอื่นๆ เขาก็เพียงแต่กล้อมแกล้มแตะถึงขั้นของศิษย์ระดับกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจสักนิดว่าที่แท้การพูดความจริงจะหลอกคนสำเร็จไปได้อย่างไรกัน
ผิดกับผู้อาวุโสใหญ่หานและผู้อาวุโสรองซูที่เป็นยอดฝีมือตัวจริงในวิชากลลวง เมื่อไตร่ตรองคำตอบที่ชวนให้คาดไม่ถึงนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ทั้งสองก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจควบคุม
“อัจฉริยะ! เป็นอัจฉริยะจริงๆ ด้วย!” ผู้อาวุโสใหญ่หานเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี
ผู้อาวุโสรองซูมีสีหน้าไม่ค่อยชวนมอง ทว่าก็มิอาจไม่พยักหน้ายอมรับ “เด็กสาวคนนี้เจ้าเล่ห์ใช้ได้ทีเดียว”
‘เจ้าเล่ห์’ คำประเมินสองพยางค์นี้สำหรับตระกูลสิบแปดมงกุฎสกุลซูแล้วเป็นคำที่มีความหมายเชิงบวกอย่างแน่นอน
“พวกเรารับนางขึ้นมาสอนวิชาด้วยตนเองเลยดีหรือไม่” ผู้อาวุโสใหญ่หานชักทนรอไม่ไหวแล้ว
ผู้อาวุโสรองซูแค่นเสียงฮึก่อนจะพูดสาดน้ำเย็นใส่ “นางไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์สักนิด ท่านตั้งใจจะสอนอะไรนาง แล้วจะสอนด้วยวิธีใด”
ผู้อาวุโสใหญ่หานพลันอับจนถ้อยคำ
ซูถิงหยวนเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน หากนางเป็นดาวช่วยชีวิตของสกุลซูจริงก็จะต้องมีวาสนาเป็นของตนเองแน่ หวังว่าเทพเจ้าแห่งกลลวงจะคุ้มครองสกุลซูของพวกเรา”
ในสายตาของซูถิงหยวน ซูเพียนจื่ออายุน้อยๆ ก็เข้าใจแก่นแท้ของวิชากลลวงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้แล้ว สิ่งที่นางขาดบนเส้นทางการฝึกวิชากลลวงก็เหลือแค่ประสบการณ์จริงกับทักษะฝีมือเท่านั้น