ซูถิงหยวนตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะหงายไพ่ทั้งหมดต่อพวกเขา จึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่ได้ละทิ้งความหวังหรอกนะ การที่ข้าให้ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงเข้าไปเลือกของวิเศษในคลังสมบัติไม่ได้แปลว่าข้าตั้งใจจะยุบสลายสกุลซูสักหน่อย ระหว่างที่พวกเขาออกไปฝึกฝีมือข้างนอกก็จะต้องทำภารกิจหนึ่งอย่างให้ลุล่วงด้วย ผู้ที่ทำสำเร็จจะได้รับการถ่ายทอดพลังวัตรชั่วชีวิตของข้า รวมทั้งคันฉ่องมายาจันทร์ม่วงกับคทาเทพลวง แล้วก็ตำแหน่งประมุขสกุลซูรุ่นต่อไป!”
วาจานี้มีผลสะท้านสะเทือนจิตใจผู้ฟังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ตามกฎตระกูลแล้วผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์จะสืบทอดตำแหน่งประมุขก็จริงอยู่ ทว่าบุตรหลานผู้เยาว์ของพวกเขาทำได้นี่!
ขอเพียงมีศิษย์คนใดได้รับพลังวัตรชั่วชีวิตของซูถิงหยวน เช่นนั้นถ้ำพันจิ้งจอกก็จะมั่นคงดุจภูเขาไท่ซานดังเดิม พวกเขาเองก็ไม่ต้องวิตกว่าจะมีภัยมาถึงชีวิตแล้ว!
ซูถิงหยวนเห็นสีหน้าของคนเหล่านี้อยู่ในสายตา ในใจก็ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ
ผู้อาวุโสสามโจวฝืนข่มความตื่นเต้นลงไป ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยคำถามที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ร้อนใจอยากรู้ “ไม่ทราบว่าท่านประมุขคิดจะให้ศิษย์เหล่านั้นไปทำภารกิจอะไรหรือ”
“หลอกเอามงกุฎเที่ยงธรรมของสกุลเจิ้ง ศิลาร้อยสมุนไพรของสกุลอวิ๋น กับเกอพันทัพไร้พ่ายของสกุลทังกลับมาที่นี่” น้ำเสียงของซูถิงหยวนเรียบเฉย ราวกับว่าสิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ไม่ใช่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะเห็นเป็นดั่งชีวิต หากแต่เป็นผักผลไม้ตามท้องไร่ท้องนาในชนบทที่ปล่อยให้ใครๆ มาเด็ดไปก็ได้กระนั้น
ผู้อาวุโสทั้งห้านิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปอีกครั้ง แทบจะอดสงสัยไม่ได้ว่าประมุขของตนใกล้สิ้นอายุขัยจึงร้อนใจจนเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่
“ตอนนี้วัตถุศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นนั้นล้วนอยู่ในมือศิษย์แถวหน้ารุ่นหนุ่มสาวของสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะ หากว่าที่ประมุขถ้ำพันจิ้งจอกของพวกเราไม่มีปัญญากระทั่งจะหลอกเอาสิ่งของมาจากมือของพวกเขาได้ ภายหน้าจะสามารถนำพาวงศ์ตระกูลต้านทานการล้อมบุกของตระกูลฝ่ายธรรมะได้อย่างไรเล่า! อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ฝืนเรียกร้องให้ว่าที่ประมุขต้องได้รับการยอมรับจากไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลของพวกเราเสียก่อน…” ซูถิงหยวนลูบคทาเทพลวงที่อยู่ในฝ่ามือเบาๆ พลางเอ่ยอย่างเยือกเย็น
จะว่าไปก็มีเหตุผลเช่นกัน เหล่าผู้อาวุโสต่างลอบพรูลมหายใจออกมา ตอนแรกพอได้ยินว่าเป้าหมายคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็หวั่นใจ รอจนได้ยินซูถิงหยวนเอ่ยถึงผู้ถือครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงพลันเบาใจขึ้น
ค่อยยังชั่ว แม้บุตรหลานของตนมีพลังวัตรไม่โดดเด่นเท่าอัจฉริยะของสามตระกูลใหญ่ฝ่ายธรรมะ ทว่าขอเพียงวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมก็ไม่แน่ว่าจะหลอกเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์มาจากมือของอีกฝ่ายไม่ได้
ส่วนเรื่องได้รับการยอมรับจากไร้นามวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซูนั้น กระทั่งอัจฉริยะเช่นซูหู่หลี่ในอดีตก็ยังไม่อาจทำสำเร็จ นับประสาอะไรกับเหล่าเด็กน้อยของตนเล่า และที่สำคัญที่สุดก็คือ…ไม่มีใครรวมทั้งซูหู่หลี่ได้พบเห็นไร้นามมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มเสาะหาจากที่ใดชิ้นนี้ ในสายตาของคนสกุลซูส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็แทบไม่ต่างอะไรกับตำนานที่เลื่อนลอย
เปรียบเทียบกันแล้ว อย่างน้อยการไปหลอกเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลฝ่ายธรรมะก็ยังนับว่าเป้าหมายแน่ชัดและมีตัวตนจริงกว่า
สำหรับการเปิดคลังสมบัติสกุลซูให้ศิษย์ระดับกลางขึ้นไปทุกคนได้เลือกของวิเศษนั้น…แม้จะถือเป็นการ ‘เข้าเนื้อ’ อย่างมาก แต่ขอเพียงบุตรหลานของตนได้กลายเป็นประมุข แล้วใช้พลังสะกดทางสายโลหิตสั่งบังคับ การจะริบเอาของวิเศษเหล่านั้นคืนมาก็เพียงแค่สั่งคำเดียวไม่ใช่หรือไร
ผู้อาวุโสทั้งหลายดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจกันเสียงดังเผียะผะ ในที่สุดก็ค่อยๆ ผงกศีรษะเห็นพ้องกับข้อเสนอของซูถิงหยวน