สิ่งที่เขาทำคือการช่วยศิษย์โกงอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าผู้อาวุโสที่เหลือรวมไปถึงท่านประมุขต่างก็ลอบให้การดูแลบุตรหลานคนใกล้ชิดของตน โดยบอกพวกเขาว่าควรไปที่จุดไหนหาของวิเศษชิ้นใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ทว่าเรื่องนี้ย่อมไม่งามที่จะพูดเปิดโปงออกมาต่อหน้า
พอดีซูถิงหยวนกำลังจับจ้องด้ามกระบี่นั้นตาไม่กะพริบ จึงไม่ทันใส่ใจว่าผู้อาวุโสใหญ่หานพูดอะไร
“กระบี่สระลึก…นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอยู่ในมือของเจ้าได้ เจ้าเลือกมันมาได้อย่างไร” ซูถิงหยวนพรูลมหายใจยาวก่อนกล่าว
หากเมื่อครู่เขายังคลางแคลงในตัวกำไลแขนทองเหลืองวงนั้นอยู่บ้าง ตอนนี้เขาก็สามารถแน่ใจในฐานะของมันได้เต็มร้อยเสียที
“นี่คือกระบี่สระลึกอย่างนั้นหรือ!” ปากของผู้อาวุโสใหญ่หานแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้สองฟองเลยทีเดียว
หลังจากซูป๋ออวิ๋นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคลังสมบัติออกมารอบหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่หานก็มีท่าทีเช่นผู้ที่พลันตระหนักได้ เขาตบหน้าผากตนเองแล้วเอ่ยขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า มิน่า!”
ซูถิงหยวนส่งกระบี่สระลึกคืนให้ซูป๋ออวิ๋นก่อนกล่าว “เป็นลิขิตฟ้าจริงๆ…”
คราวนี้ปริศนาที่ผู้เฒ่าทั้งสองใบ้คำกัน แม้กระทั่งซูเพียนจื่อก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
ซูถิงหยวนแสดงท่าทีให้ผู้เยาว์สองคนนั่งลง “ในเมื่อพวกเจ้าล้วนเป็นผู้ที่เทพเจ้าแห่งกลลวงคัดเลือกไว้ เช่นนั้นก็มีหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องปิดบังพวกเจ้าอีก” เขาพูดพลางส่งสายตาให้ผู้อาวุโสใหญ่หาน เป็นความหมายให้อีกฝ่ายบอกเล่าที่มาที่ไปแก่ผู้เยาว์ทั้งสอง
ผู้อาวุโสใหญ่หานกระแอมให้โล่งคอ ก่อนจะตัดสินใจเริ่มเล่าจากของวิเศษที่ทั้งสองได้มาในวันนี้…
ทุกผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าสกุลซูคือชนรุ่นหลังของเทพเจ้าแห่งกลลวง ในสมัยบรรพกาลเหล่าเซียนไม่ได้แบ่งแยกเป็นฝ่ายธรรมะกับอธรรมแต่อย่างใด เทพเจ้าแห่งกลลวงก็คือสมญานามของเซียนไร้จริง ผู้ถูกจัดเป็นสามอันดับแรกในหมู่เซียนทั้งหลาย และมีฐานะที่สูงส่งเหนือใคร
เซียนไร้จริงมีสุดยอดของวิเศษอยู่สามชิ้น ซึ่งนับไร้นามเป็นอันดับหนึ่ง
ไร้นามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ตัวตน ดังนั้นมันจึงไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน และไม่มีแม้กระทั่งประโยชน์ใช้สอยกับวิธีใช้งานที่ตายตัว มันแปรเปลี่ยนได้สารพัน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ถือครองมันจะนำไปปรับใช้อย่างไร
ของวิเศษอีกสองชิ้นก็คือคันฉ่องมายาจันทร์ม่วง กับคทาเทพลวงซึ่งมีอีกนามว่า ‘คทาแปรสภาพ’ ชิ้นแรกสามารถส่องเห็นตัวตนที่แท้กับหัวใจจริงของคนผู้หนึ่ง รวมถึงมองทะลุอดีตกับอนาคตของคนผู้นั้น ส่วนชิ้นหลังแท้จริงแล้วเป็นศัสตราวิเศษ ต่อมาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของประมุขสกุลซู
ตระกูลโบราณบนดินแดนพันเมฆาทุกตระกูลล้วนมีสุดยอดของวิเศษที่ตกทอดมาจากเซียนบรรพชนของตน และสุดยอดของวิเศษสกุลซูก็คือไร้นามอย่างไม่ต้องสงสัย
เทพเจ้าแห่งกลลวง หรือก็คือเซียนไร้จริงนั้นมีบริวารเป็นเซียนผู้พิทักษ์เบื้องซ้ายกับเบื้องขวา พวกเขาต่างก็ถือครองของวิเศษหนึ่งชิ้นที่เซียนไร้จริงเป็นผู้ประทานให้ ชิ้นหนึ่งมีนามว่าสระลึก ซึ่งบัดนี้อยู่ในมือของซูป๋ออวิ๋น อีกชิ้นมีนามว่าร่องวารี ซึ่งยังไม่รู้ว่าตกอยู่กับผู้ใด
ของวิเศษทั้งสองแม้ไม่มีอานุภาพที่จะแปรเปลี่ยนได้สารพันเช่นเดียวกับไร้นาม ทว่าทุกครั้งที่ปรากฏตัวก็ล้วนมีรูปลักษณ์ที่ผิดไปจากเดิมอยู่บ้าง
อย่างเช่นกระบี่สระลึกคราวก่อนปรากฏตัวในรูปของกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของคือผู้อาวุโสใหญ่สักรุ่นของสกุลซู ส่วนประมุขสกุลซูที่เขาสนับสนุนค้ำจุนก็คือเจ้าของคนก่อนของไร้นามนั่นเอง
การปรากฏตัวครานี้มันกลับกลายเป็นด้ามกระบี่สีดำสนิทไปแล้ว และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ…ซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หานต่างเข้าออกคลังสมบัติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าล้วนไม่เคยพบเห็นร่องรอยของมันมาก่อนเลย
ส่วนร่องวารีนั้นเป็นพู่กันด้ามหนึ่ง คราวก่อนปรากฏตัวในรูปของพู่กันตุลาการสีดำวาววับ ไม่รู้ว่าครานี้จะปรากฏตัวใหม่ในรูปลักษณ์ใด
ซูป๋ออวิ๋นฟังอาจารย์ของตนแนะนำจนจบก็ตะลึงมองกำไลแขนในมือของซูเพียนจื่ออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตามามองกระบี่สระลึกที่อยู่ในมือของตน ครู่ใหญ่เขาจึงได้เอ่ยออกมาอย่างไม่กล้าเชื่อ
“นะ…นั่นก็คือไร้นาม?! ส่วนนี่…คือกระบี่สระลึก?!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)