นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอก “เรื่องที่ฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์มอบอำนาจให้องค์รัชทายาท เหล่าขุนนางเก่าในสองสำนักหลักต่างรู้ เมื่อใดที่องค์รัชทายาทสืบทอดอำนาจการปกครอง ยังจะเป็นเช่นตอนนี้ที่ปฏิบัติต่อขุนนางเก่าเหล่านี้ด้วยความเคารพนบนอบอีกหรือ การอนุญาตให้จิ้นซื่อสตรีเข้ากองอาลักษณ์เป็นเพียงการเดินหมากตัวแรกขององค์รัชทายาทเท่านั้น เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ท่านกู่เข้าใจ เหล่าขุนนางเก่าในราชสำนักยิ่งเข้าใจ ถ้าเป็นสตรีทั่วไปที่มีวิชาความรู้อย่างเต็มเปี่ยมคนหนึ่ง เข้ากองอาลักษณ์แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งพวกขัดแย้งปัดแข้งปัดขากัน หลายปีมานี้คนที่เสียสละตนเองยังมีน้อยอยู่หรือ”
กู่ชินยกมือขึ้นขัดจังหวะนาง “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” เขาคลายหัวคิ้วสงบอารมณ์ เพิ่งจะเดินกลับไปที่ข้างโต๊ะ ก็กล่าวกับนาง “มาดูภาพที่ข้าวาด”
เสิ่นจือหลี่หุบปากตามที่เขาบอก แล้วเดินเข้าไป
บนโต๊ะมีม้วนภาพวาดปูยาว ภาพวาดเต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิ กิ่งหลิวอ่อนพลิ้ว ศาลา นกนางแอ่นโบยบินนกขมิ้นขับขาน สายน้ำไหลเอื่อยไปไกล…
เขาหลุบตายื่นมือไปหยิบพู่กันมา ผสมสีแดงอ่อนแล้วส่งให้นาง อีกมือหนึ่งก็ชี้ไปยังกิ่งท้อที่ว่างเปล่าในภาพ ยิ้มน้อยๆ บอก “ยังขาดดอกท้อไม่กี่ดอก เล่อเยียนยังวาดดอกท้อเป็นหรือไม่”
ส่วนลึกในใจของนางสั่นสะท้านอย่างแรง ใบหน้ากลับยังคงสงบนิ่ง “ตอนนั้นท่านกู่สอนให้ด้วยตนเอง เล่อเยียนจะลืมได้อย่างไร”
นางถือพู่กันมือสั่นเล็กน้อย ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอยู่ด้านข้าง หัวใจก็ยิ่งสั่นสะท้าน
หลังวาดดอกท้อลงไปบางๆ นางกลับไม่คลายมือจากพู่กัน เปลี่ยนเป็นชะงักข้อมือแทน แล้วจรดปลายพู่กันลงไปตรงมุมว่างเปล่าของกระดาษเซวียนจื่อ ตัวอักษรหลายตัวปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…
‘แค้นใจความรักมาล่าช้า ราตรีกาลมาถึงจึงได้รับรู้ถึงความรัก อารมณ์รักแอบหวั่นไหว ความรักฝากไว้เสียเปล่า เรื่องของความรักมีเพียงความรักที่รู้’
กู่ชินมองนางเก็บพู่กันล้างหมึก สายตาอดเบนไปที่ตัวอักษรเหล่านั้นอีกคราไม่ได้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม น้ำเสียงเจือความลังเลเล็กน้อย “เล่อเยียนมีคนที่ชอบพอแล้วหรือ”
เสิ่นจือหลี่ปล่อยชายแขนเสื้อลง กล่าวเสียงเบา “ใช่เจ้าค่ะ”
เขานิ่งงันแล้วถามต่อ “เป็นคุณชายบ้านใดหรือ”
นางกลับไม่พูดต่อ เอาแต่ก้มหน้ามองม้วนภาพบนโต๊ะ
กู่ชินหมุนตัวเดินไปไม่กี่ก้าว หัวคิ้วขยับเข้าหากัน “หลายวันก่อนฝ่าบาทกับขุนนางเก่าหลายท่านในสำนักราชเลขาธิการยังพูดถึงเรื่องแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาท เจ้า…”
สีหน้าของเสิ่นจือหลี่พลันบูดบึ้งทันที นางตัดบทเขา “ได้รับความกรุณาจากฝ่าบาทและท่านกู่ที่เห็นความสำคัญของเล่อเยียน แต่ท่านไม่ลองคิดดูบ้าง เรื่องนี้องค์รัชทายาทมีหรือจะยอมฟังการจัดการของผู้อื่น แทนที่เวลานี้จะมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า ไม่สู้ไปถามองค์รัชทายาทว่าทรงคิดเห็นเช่นไร”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะมีการโต้ตอบเช่นนี้ จึงมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้ากับองค์รัชทายาทเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ทุกคนคิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล…”
นางยิ้มหยัน “ท่านก็เห็นข้าเติบโตมาตั้งแต่เล็ก ถ้าพูดเช่นนี้ ระหว่างข้ากับท่านจะเป็นเช่นไร”
“เหลวไหล!” กู่ชินสีหน้าโกรธเกรี้ยว “คำพูดเช่นนี้จะพูดออกมาส่งเดชได้อย่างไร”
เสิ่นจือหลี่สะบัดชายแขนเสื้อยาว หันหลังเดินไปที่หน้าประตู ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นางเงยหน้าขึ้น แล้วจึงเปิดปากด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “มาพบท่านกู่ในวันนี้ เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว อยู่นานก็ไม่สะดวก หวังว่าท่านจะถนอมตัวให้ดี”
ด้วยไม่อาจทนฟังเขาพูดอีกแม้แต่คำเดียว นางจึงชิงก้าวออกประตูไป
ปลายนิ้วยังมีความอบอุ่นจากมือเขาที่กุมพู่กัน กลางฝ่ามือยังมีกลิ่นหอมของหมึกชาดติดอยู่
เศษหญ้าเต็มพื้นติดชายกระโปรง มีความรักเสียเปล่า ไร้คนขานรับ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.