ประตูสีชาดของตำหนักปิดแน่นหนา โคมไฟภายในเป็นสีอบอุ่น ทั้งตำหนักเงียบอย่างประหลาด
ตะวันขึ้นแล้วก็ตก บนพื้นอิฐของตำหนักมีเงาสีเทาหรุบหรู่ทอดยาว เห็นลวดลายที่ละเอียด ปลายขอบไม่ชัดเจน คล้ายอารมณ์หดหู่หลากหลายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
เขานั่งอยู่ มองสตรีในชุดสีเรียบแต่งหน้าบางเบาเหล่านี้นิ่งไม่ขยับ
ล้วนยังอายุน้อยเพียงนี้ เปี่ยมไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวาเพียงนี้ ทว่าพวกนางรู้หรือไม่ว่าราชสำนักที่แท้จริงมีสภาพเช่นไร
มีหญิงสาวไม่น้อยวางพู่กันในมือลง หยิบขนมอบชาววังที่ได้รับมาในช่วงก่อนฟ้าสางตอนอยู่ที่ถนนนอกวังหลวงออกมานั่งกินเงียบๆ อยู่ในที่นั่งสอบ
มีเพียงนางคนเดียวที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ยกข้อมือสะบัดพู่กัน หมึกดำกระดาษขาว แผ่นหลังตั้งตรง คล้ายไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ลูกนัยน์ตาสีหมึกเข้มขรึม ขยับพู่กันดุจโบยบิน ตัวอักษรในช่องตารางสีแดงประณีตเรียบร้อย กระดาษข้อสอบขลิบสีทองทางซ้ายมือได้วางซ้อนกันเป็นกองบางๆ แล้ว
เขาค่อยๆ เบนสายตามาที่นาง ริมฝีปากสีแดง คิ้วเรียวละเอียด ใบหน้าขาวใส มองแพขนตาของนางกระพือขึ้นลงอย่างไม่รู้ตัว มองปอยผมตรงมุมหน้าผากปิดคลุมหางคิ้วของนาง มองสีหน้าจริงจังตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่งบนใบหน้าของนาง มองดูนางเขียนความเรียงนี้อย่างทุ่มเทกระตือรือร้น
สตรีหลายคนที่อยู่รอบข้างกินอาหารเสร็จแล้วก็เริ่มเขียนความเรียงอีกครั้ง
มีเพียงขนมอบชาววังที่อยู่ข้างกายนางห่อนั้นที่ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้แตะต้อง
เขาสังเกตเห็นสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ของนาง มองประเมินนางอย่างจดจ่อโดยไม่รู้ตัว
ในสมองหวนนึกถึงวันนั้น บนถนนหลวงดินเหลืองทางด้านเหนือของเมืองชงโจว วัดร้างแห่งหนึ่ง คนในชุดสีขาวคนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองเขาอย่างดื้อรั้นและแน่วแน่ ถึงกับเปิดปากถามเขาว่าเขาสกุลอะไรชื่ออะไร
ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีใครถามคำถามนี้กับเขา
ชื่อของเขาคนทั้งใต้หล้าต่างรู้ แต่กลับไม่มีใครกล้าเรียก ยิ่งมีคนน้อยมากที่รู้ว่าชื่อนี้แฝงความหมายลึกซึ้งไว้ว่าอย่างไร
ผู้โดดเดี่ยว ตัวคนเดียว
นับแต่โบราณผู้เป็นกษัตริย์ล้วนโดดเดี่ยว แม้แต่บิดามารดาของเขาที่คู่ควรกันดุจกระบี่กับฝักกระบี่ก็ต้องเดินตามลำพังมานานกี่ปีกี่เดือน ต้องหลั่งโลหิต หยาดเหงื่อ และน้ำตามามากมายเพียงใด เสียสละผู้คนและเสบียงสรรพาวุธมากมายเพียงใด ถึงได้แลกกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันดูแลกันในช่วงไม่กี่สิบปีสั้นๆ นี้มาได้
ใช้คำว่า ‘กว่า’ มาตั้งเป็นชื่อ หาใช่ต้องการให้เขาโดดเดี่ยวไปทั้งชีวิต หากแต่ผืนแผ่นดินในใต้หล้าที่หลอมรวมสติปัญญาและชีวิตจิตใจของคนทั้งสองมาทั้งชีวิต มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสืบทอดได้
เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวในชั่วชีวิตของคนทั้งสอง ความทุกข์ยาก ความลำบาก และความโดดเดี่ยวของผู้เป็นกษัตริย์ วันข้างหน้านอกจากเขาแล้วยังจะมีใครมีคุณสมบัติเป็นผู้นำแทน
ผู้อื่นเห็นเพียงความรุ่งโรจน์อันไร้ขอบเขตของเขา แต่ไหนเลยจะรู้ว่าภาระที่อยู่บนบ่าของเขาหนักเพียงใด
เป็นกษัตริย์ยาก เป็นกษัตริย์ยากก็ไม่อาจพูด
ถึงพูดได้ ก็ไม่มีใครพูด
“องค์รัชทายาท”
เจ้าหน้าที่สำนักห้องเครื่องที่อยู่ด้านข้างเห็นเขามองจ้องสตรีผู้หนึ่งจนใจลอย จึงอดเรียกเสียงต่ำที่ข้างหูเขาไม่ได้
เขาพลันได้สติ รู้ว่าตนเสียกิริยาก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ แล้วเหลือบตามองนางทีหนึ่ง กลับสบเข้ากับสายตาของนางที่มองมาพอดี
ยังคงเป็นแววตาที่ใสกระจ่างเฉกเช่นวันนั้น
เขาเบนสายตาไปเงียบๆ สายตากวาดมองไปทั่วตำหนักรอบหนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตากลับมา
นางดูแล้วอายุน้อยเพียงนี้ อย่างมากก็เพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าใสซื่องดงาม แต่กลับกล้าเขียนความเรียงฝืนกฎเกณฑ์ในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ระดับมณฑล แตกต่างกันมากกับสตรีที่เขาเคยพบมา
แต่ที่นางฝืนกฎเกณฑ์ที่แท้แล้วเพราะอะไร เพียงเพื่อต้องการชื่อเสียงเท่านั้นหรือ
เขาหลับตาเล็กน้อย แล้วนึกถึงคำพูดที่กู่ชินพูดกับเขาในสนามสอบของกรมพิธีการเมื่อไม่กี่วันก่อน
เป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วเวลาไม่กี่วันนางกลับสามารถทำความรู้จักเสิ่นจือหลี่ได้ และเสิ่นจือหลี่ถึงกับยอมไปยื่นเทียบที่จวนสกุลกู่เพื่อนาง
เห็นได้ว่านางมีสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
น้ำตาเทียนสีแดงหยดลงมา สีสันราวกับไฟ เสียดแทงนัยน์ตาดุจโลหิต
ตอนเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่านางยังคงมองมาที่เขา
เขามองนางตรงๆ คิดไม่ถึงว่านางจะขวัญกล้าถึงเพียงนี้
นางสบเข้ากับสายตาเยียบเย็นเล็กน้อยของเขา ครู่เดียวก็เบนสายตาหลบไป
แต่ถึงกระนั้นเขายังคงเห็นประกายความหวังที่วูบวาบอยู่ในดวงตาทั้งสองของนางอย่างชัดเจน
นางกำลังเฝ้าปรารถนาสิ่งใด
ลาภยศหรือเบี้ยหวัดขุนนาง
บนโต๊ะที่มันวาวสะอาดหมดจดตัวนั้นวางกระดาษข้อสอบขลิบทองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยปึกหนึ่ง พู่กันกับหมึกของนางเก็บไปเรียบร้อย ขนมอบชาววังที่วางอยู่ด้านข้างห่อนั้นยังคงไม่ได้กิน
มีเจ้าหน้าที่กรมพิธีการเห็นแล้วเช่นกัน เขาเดินเข้าไปซักถามเสียงต่ำ เห็นนางเขียนตอบเสร็จหมดแล้ว ไม่เพียงตื่นตะลึง ทว่าตามกฎระเบียบไม่อาจออกจากสนามสอบก่อนกำหนด จึงให้นางนั่งอยู่เช่นนั้น รอตะวันตกดินค่อยออกจากสนามสอบพร้อมคนอื่นๆ
เขามองอยู่ไกลๆ ก็เห็นนางก้มหน้าเล็กน้อย มองโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าตนด้วยสีหน้าจดจ่อ เป็นนานไม่ขยับ ก็ไม่รู้กำลังคิดอะไร
สตรีผู้นี้…
กลับทำให้เขาอยากจะรู้จักขึ้นมาแล้ว