บทที่ 136
นอกจากเหตุการณ์บางเรื่องที่ดูเหมือนจะตรงกับที่ทำนายไว้อยู่บ้าง ที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการพยายามเชื่อมโยงเรื่องราวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างฝืนๆ และไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงสักนิด
เพลงเซาปิ่งหนาๆ หนึ่งเล่มดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงกองกระดาษไร้ค่าไปแล้ว
อย่างไรก็ตามชุยซื่อกลับจับความหมายบางอย่างจากประโยคหนึ่งในนั้นได้ จึงชี้ให้เห็นคำทำนายที่กล่าวถึงสตรีผู้เก่งกาจแห่งยุค…บุตรสาวของจิ้งอ๋อง แล้วกล่าวขึ้น
“คำทำนายข้ออื่นดูไม่ออกว่ามีอะไร แต่สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ได้ยินว่าแม้จะเป็นสตรี แต่ก็เก่งกล้าทั้งบุ๋นและบู๊ คอยวางแผนให้บิดา ตอนนี้นางอยู่ที่เมืองเฟิ่ง ทำหน้าที่รับเสด็จฝ่าบาทแทนจิ้งอ๋อง ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก”
เมื่อฮั่วซานได้ยินดังนั้นก็ฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะฮั่วสุยเฟิงไม่ได้ความ ไม่รั้งฮ่องเต้วัยเยาว์ไว้ คนที่ควรโดดเด่นในโม่เป่ยตอนนี้ก็ควรเป็นเขาโม่เป่ยอ๋องฮั่วซานต่างหาก…
ตอนนั้นเองชุยซื่อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามสามีว่า “เสด็จพ่อที่อยู่ในเรือนตะวันตกจะไม่ไหวแล้ว ได้ยินว่าเอาแต่เรียกหาหมอ…”
หลังจากฮั่วเหยียนเหลยถูกฮั่วซานบุตรชายของตนเองกักขังก็ได้สัมผัสกับชีวิตที่ยากลำบากอย่างที่ฮั่วซานเคยเผชิญในวัยเด็กอย่างเต็มที่ อาหารแต่ละมื้อไม่เคยตรงเวลาไม่ว่า ส่วนใหญ่เป็นเพียงอาหารเหลือและเย็นชืด ฮั่วเหยียนเหลยที่เคยใช้ชีวิตอย่างหรูหราและเคยชินกับอาหารอันโอชะ รวมถึงท้องที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีนั้นจะทนรับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายสุดที่รักของเขาถูกคนโหดเหี้ยมผู้นี้สังหาร ความโกรธแค้นที่สะสมอยู่ในใจทำให้เขาส่งเสียงด่าทอทุกวัน ร่างพ่วงพีราวกับถุงหนังไร้ลม ผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สุดท้ายเขาก็ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น
เมื่อฮั่วซานได้ยินเรื่องนี้เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงพูดเบาๆ ว่า “หากข้าลงมือสังหารเสด็จพ่อ ข้าจะถูกคนทั้งใต้หล้ารังเกียจเหยียดหยาม แต่หากเสด็จพ่อจากไปด้วยโรคภัย นั่นเท่ากับเป็นชะตาฟ้าลิขิต มิใช่สิ่งที่พวกเราจะแก้ไขได้ บอกให้องครักษ์เรือนตะวันตกคอยจับตาดู หากเสด็จพ่อเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายให้เรียกญาติสนิทมิตรสหายของสกุลฮั่วมาดูใจ จะได้ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตฆ่าบิดาของตนเอง…”
ชุยซื่อที่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของสามี จึงรีบจดจำไว้และวางแผนหาองครักษ์ที่อายุมากและมีประสบการณ์มาจับตาดูช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของบิดาสามีโดยเฉพาะ
ช่างน่าเศร้าที่ฮั่วเหยียนเหลยซึ่งเคยยิ่งใหญ่ในโม่เป่ยมาครึ่งชีวิตกลับถูกญาติพี่น้องรังเกียจ เพราะในอดีตเขาได้ลงมือสังหารฮั่วเหยียนถิงพี่ชายผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งของตน
ตอนนี้บุตรชายอนุของเขาก็เอาเยี่ยงอย่าง จับบิดาของตนเองกักขังไว้ คนในวงศ์ตระกูลก็ไม่ได้ส่งเสียงคัดค้านใดๆ เพียงแต่เมื่อได้รับข่าวว่าฮั่วเหยียนเหลยใกล้จะสิ้นใจแล้ว คนในตระกูลก็ส่งคนรุ่นอาวุโสฝ่ายบิดาไปถามฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องว่าจะไปดูเขาด้วยกันหรือไม่
ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องกลับกล่าวว่า “สมัยที่เสด็จพ่อข้ายังมีชีวิตอยู่รักใคร่เอ็นดูน้องชายผู้นี้ที่สุด แต่น่าเสียดายที่หลังจากเสด็จพ่อข้าจากไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาผู้นี้กลับไม่เคยทำพิธีไว้อาลัยให้พี่ชาย เพื่อไม่ให้พี่น้องต้องมีเรื่องบาดหมางกันในปรโลก มิสู้ใช้โอกาสที่เสด็จอายังมีลมหายใจอยู่เชิญมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ป้ายวิญญาณเสด็จพ่อข้าดีกว่า…”
เมื่อคนในตระกูลได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าฮั่วสุยเฟิงต้องการจะไต่สวนเสด็จอาของตนเองที่หน้าป้ายวิญญาณของอดีตโม่เป่ยอ๋องผู้ล่วงลับ
ทว่าเมื่อนำคำพูดนี้ไปบอกโม่เป่ยอ๋องฮั่วซาน เขากลับไม่พอใจ แม้บิดาของเขาจะเคยก่อความผิดฐานสังหารพี่ชาย แต่ก็ประกาศต่อผู้คนไปแล้วว่าฮั่วเหยียนถิงตายด้วยโรคภัย
นั่นเป็นการปกปิดเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวและรักษาหน้าตาเอาไว้
แต่การที่ฮั่วสุยเฟิงทำเช่นนี้เท่ากับประกาศให้ผู้คนรับรู้ว่าตอนนั้นบิดาของเขาเคยวางแผนช่วงชิงตำแหน่งอ๋องจากเสด็จลุง เช่นนี้ตำแหน่งโม่เป่ยอ๋องของเขาก็จะดูไม่ชอบธรรมตามไปด้วย ดังนั้นการขออภัยต่อหน้าป้ายวิญญาณจึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด
ฮั่วซานปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมให้บิดาต้องไปขายหน้าต่อหน้าผู้คนก่อนตาย