ความจริงแล้วมีเพียงคืนฝนตกคืนแรกเท่านั้นที่ฮั่วสุยเฟิงได้เดินทางร่วมรถม้ากับว่าที่ภรรยาผู้น่ารัก ในวันถัดมาที่ท้องฟ้าแจ่มใส เขาก็ถูกไล่ตะเพิดลงจากรถม้าแล้ว
ฮั่วสุยเฟิงรู้ดีว่าโม่เซี่ยวเหนียงอารมณ์ไม่ดี จึงพยายามเอาอกเอาใจนางอย่างเต็มที่ ตราบใดที่นางยังคงวางท่าพี่สาวที่คอยอบรมสั่งสอน ท่าทางแง่งอนของนางก็น่ารักดีเช่นกัน
ตอนแรกโม่เซี่ยวเหนียงยังกังวลอยู่ว่าเมื่อไม่มีผู้ใหญ่คอยควบคุมและอยู่นอกเมืองเช่นนี้ ฮั่วสุยเฟิงจะยิ่งทำอะไรตามใจชอบ
แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่เซิ่นคำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงส่งคนข้างกายมาให้ลูกเลี้ยงของตน
วันที่สามของการเดินทางไปยังโม่เป่ย หงผิงพาสามีที่เพิ่งแต่งงานด้วยพร้อมทั้งพวกบ่าวรับใช้มาร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ยามนั้นเป็นเวลาเช้าพอดี ฮั่วสุยเฟิงกลัวว่าโม่เซี่ยวเหนียงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางยามค่ำคืน จึงหาที่โล่งกว้างตั้งกระโจมหนังวัว ให้นางห่มผ้าขนสัตว์หนานอนค้างแรม
พอยามเช้าตอนตื่นขึ้นมา บ่าวรับใช้เพิ่งยกน้ำอุ่นที่ผสมเตรียมไว้แล้วมาให้เจ้านายทั้งสองล้างหน้ากลั้วปาก
ตอนนั้นฮั่วสุยเฟิงอุ้มโม่เซี่ยวเหนียงออกมาเร็วยิ่ง แม้แต่สาวใช้คนสนิทของนางก็ไม่ได้พามาด้วย ไม่รู้ว่าพวกหานเยียนที่ตามรถสัมภาระมาต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะเร่งรุดมาถึง
สองสามวันนี้เรื่องเล็กน้อยส่วนตัวหลายอย่างล้วนได้ฮั่วสุยเฟิงช่วยจัดการให้ ทั้งยังจัดการให้อย่างขยันขันแข็งอีกด้วย!
โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกชินชาไร้ความรู้สึกเสียแล้ว และเลิกคิดจะไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วเช่นกัน แค่คอยเตือนตนเองในยามว่างว่าต้องศึกษาภาพแบบร่างของอารามชีเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ใช้ แต่ในภายภาคหน้ายามแก่ชราต้องได้ใช้แน่
และในยามที่กำลังท้อแท้ไร้ความหวัง พอนางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหงผิงก็ราวกับเห็นมารดาแท้ๆ ของตนเองก็มิปาน หากฮั่วสุยเฟิงไม่ได้กำลังเช็ดหน้าให้นางอยู่ นางคงพุ่งตัวออกไปหาสหายรักแล้ว
ตอนนี้เพิ่งได้เห็นความงดงามของหงผิง อีกฝ่ายเพิ่งแต่งงาน เนื้อถังเซิงกินได้ถูกปาก สามีก็น่ารักและเชื่อฟัง ตอนนี้แม้จะไปโม่เป่ยก็ไม่ต่างจากการเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หลังแต่งงาน
โม่เซี่ยวเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก อดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อข้าเรียกท่านกับสามีมาได้อย่างไร”
เจี่ยงอวิ๋นเซิงคารวะจวิ้นอ๋องน้อยแล้วยิ้มตอบ “ไม่นับว่าท่านแม่ทัพฉู่เรียกตัว เดิมทีท่านแม่ข้าตั้งใจจะสร้างอู่ต่อเรือใหม่ที่โม่เป่ยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถขนส่งทางเรือตรงไปยังโม่เป่ยได้ ต้องให้คนที่ไว้ใจได้จากที่บ้านมาช่วยดู ภรรยาจึงมากับข้าด้วย”
เมื่อพูดจบเขาก็ถูกฮั่วสุยเฟิงเรียกไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นฮั่วสุยเฟิงก็จัดเรียงภาพแบบร่างบนหินก้อนใหญ่เรียบๆ ก้อนหนึ่งเหมือนกำลังศึกษาแนวชายฝั่ง เห็นได้ชัดว่าการสร้างอู่ต่อเรือน่าจะเป็นความคิดริเริ่มของฮั่วสุยเฟิง
มีสหายที่คุ้นเคยในการเดินทาง โม่เซี่ยวเหนียงย่อมรู้สึกผ่อนคลาย จึงดึงหงผิงไปดื่มชาร้อนคลายความหนาวที่ข้างกระโจม
หงผิงมองโม่เซี่ยวเหนียงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ยักคิ้วหลิ่วตาพลางเอ่ยถาม “สองสามวันมานี้เขาได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบเจ้าบ้างหรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ตอบคำถามหงผิง เพียงเปลี่ยนเรื่องชวนนางดื่มชาแทน
หงผิงจุปาก “สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของข้า อายุยังน้อยก็จริง แต่มือไม้นี่รวดเร็วใช้ได้! แล้วเขาเคยจุมพิตเจ้าหรือยัง”
โม่เซี่ยวเหนียงนึกถึงที่สองสามวันนี้ที่ฮั่วสุยเฟิงเกาะติดนาง นางก็อดหักไม้เขี่ยไฟที่ถืออยู่ในมือไม่ได้ ทำหน้าบึ้งตึงพร้อมเอ่ยตอบ
“หากท่านถามอีก เราสองคนก็เลิกคบหากันเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน”
หงผิงไม่กลัวอยู่แล้ว นางหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “หากเจ้าเลิกคบหาข้าตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็จะไปแล้ว จะได้ไม่ขัดขวางงานสำคัญของศิษย์น้องของข้า!”
โม่เซี่ยวเหนียงทำได้เพียงดึงหงผิงไว้แล้วตักน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติใส่ถ้วยชาอีกฝ่ายอีกสองช้อน
ในเวลานี้เองฮั่วสุยเฟิงจัดการงานสำคัญกับเจี่ยงอวิ๋นเซิงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถือหวีไม้เดินมา ตั้งใจจะหวีผมให้โม่เซี่ยวเหนียง สองวันมานี้เขาฝึกฝนจนชำนาญ ทั้งยังทำมวยผมตกหลังม้า ได้ด้วย
อยู่ในยุคโบราณผมยาวถึงเอวก็เป็นเรื่องน่ารำคาญเช่นกัน แค่ถักเปียก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ก่อนหน้านี้นางจึงต้องยอมให้ฮั่วสุยเฟิงจัดการให้
แต่ตอนนี้หงผิงพาสาวใช้มาด้วย โม่เซี่ยวเหนียงจึงไม่อยากให้ฮั่วสุยเฟิงหวีผมให้ตนอีก
ทว่าจวิ้นอ๋องน้อยไม่พอใจ ดึงผมยาวของนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าหวี วันนี้ก็ไม่ต้องเดินทางแล้ว!”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนสิงหาคม 2568)