ตอนเกือบสองขวบ อีเหรินน้อยไม่ต้องพักผ่อนทั้งวัน จึงเริ่มเรียนรู้ตัวอักษร เขียนตัวอักษร แล้วก็หัวไวยิ่งนัก หลังจากรู้หนังสือ ชีวิตนางแทบจะมีหนังสือเป็นสหาย ยามอาการดีขึ้นหน่อย มีแรง ก็จับพู่กันฝึกเขียนตัวอักษร กล่าวได้ว่านอกจากกินข้าว พักผ่อน และสนทนากับพวกเขาแล้ว นางล้วนกอดแต่หนังสือไม่ยอมวาง
สำหรับจุดนี้ฉู่เซวียนอั๋งรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้นางไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ไม่อาจทำเรื่องอะไรที่รุนแรงได้ แต่อย่างน้อยนางอ่านหนังสือและเขียนตัวอักษรได้
แล้วที่ยิ่งต้องประหลาดใจก็คือฉู่อีเหรินมีความจำดีเยี่ยม วิชาพลังภายในและเคล็ดวิชากระบี่เทียนฉู่ของสกุลฉู่นั้น เขาสอนนางเพียงไม่กี่วันนางก็ท่องได้อย่างคล่องปรื๋อ นี่ทำให้ฉู่เซวียนอั๋งทั้งดีใจระคนเศร้าใจ น้องสาวของเขาเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ฝึกยุทธ์ไม่ได้
“พี่ใหญ่ ได้หรือไม่ พาข้าออกไปเดินเล่นหน่อย…” ฉู่อีเหรินออดอ้อน ดึงแขนพี่ใหญ่แกว่งไปมา
แม้ชาติก่อนนางมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ยามนี้มีอายุเพียงสามขวบ การออดอ้อนพี่ใหญ่ที่มีอายุสิบเอ็ดขวบเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นับว่าทำเกินเลย ไม่น่าอาย นางคอยเตือนตนเองเช่นนี้
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งเรียกสติกลับคืน ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าอบอุ่น
“ขอบคุณพี่ใหญ่” ฉู่อีเหรินกอดเขาสักครู่ จากนั้นก็พูดอย่างติดอ่างเล็กน้อย “แต่ว่า…พี่ใหญ่ ถ้าไปครึ่งทางแล้วข้าเดินไม่ไหว พี่จะต้องแบกข้ากลับมานะ” แม้อยากออกไปเดินเล่น ทว่าฉู่อีเหรินเข้าใจสภาพร่างกายของตนเองดี
ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็ควรกราบขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากมีแรงเพียงใด…นั่นเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
อันที่จริงฉู่อีเหรินเองมักจะสงสัยอยู่บ้างว่าร่างกายอ่อนแอจากการเกิดก่อนกำหนดจะต้องป่วยเช่นนี้หรือ หรือยังมีสาเหตุอื่นอีก
ที่น่าเสียดายก็คือนางไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านการแพทย์ของโลกนี้เลย แล้วก็ไม่มีเครื่องมือตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าอย่างในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ดังนั้นจึงไร้หนทางวินิจฉัย แต่ถ้ามีโอกาส นางจะต้องตั้งใจศึกษาวิชาแพทย์ นี่นับเป็นความสามารถพิเศษ ต่อไปในภายภาคหน้านางคงต้องพึ่งอาชีพนี้ในการดำรงชีวิตต่อไปในแผ่นดินนี้
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้าทันที
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” ฉู่อีเหรินยิ้มอย่างดีใจ อย่าคิดว่าพี่ใหญ่มีอายุแค่สิบเอ็ดขวบ ในสายตานางเขาเป็นยอดฝีมือที่เดินบนชายคากำแพงราวเหาะเหินได้ มีฝีมือเพลงกระบี่เหนือชั้น ส่วนสูงเกินหนึ่งร้อยห้าสิบกงเฟิน ถ้าจะแบกนางซึ่งมีน้ำหนักไม่ถึงยี่สิบกงจิน ส่วนสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยกงเฟิน ไม่นับเป็นปัญหาแน่นอน
“ไม่เป็นไร” ฉู่เซวียนอั๋งลูบหัวนาง
ในเมื่อจะออกไปข้างนอก แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยผมสยายได้ ฉู่เซวียนอั๋งจึงหยิบหวีมาสางและผูกผมที่ยาวเกือบถึงเอวของนางเป็นหางม้าสองข้าง จากนั้นจึงรัดด้วยแถบผ้าสีฟ้า แล้วค่อยกำชับว่า “เจ้ารอพี่เล็กอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่จะไปจัดการอะไรสักหน่อย อีกสักครู่พวกเราก็จะออกไปข้างนอก”
“ได้” นางพยักหน้า มองส่งพี่ใหญ่เดินออกไปอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นก็ปีนลงจากเตียง เปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อกันลมสักตัว แล้วค่อยซ่อนกระเป๋าสตางค์ใบเล็กที่ใส่เงินค่าขนมในกระเป๋าเสื้อกันลม ตระเตรียมทุกอย่างจนเรียบร้อย
เรื่องเงินค่าขนมก็ต้องยกความดีให้กับข้อดีของตระกูลใหญ่ซึ่งมีกิจการใหญ่โต
แม้ผู้คนในตระกูลมั่งคั่งนี้จะไม่ค่อยสนใจไยดีนาง ทว่าเงินค่าขนมทุกเดือนที่มอบให้ลูกหลานกลับไม่เคยขาดสักอีแปะเดียว…แน่นอนว่าก็ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ของนางด้วย
คุณชายใหญ่สกุลฉู่ไปรับเงินเดือนด้วยตนเอง ใครจะกล้าไม่ให้
ทุกครั้งที่รับเงินกลับมา พี่ใหญ่จะช่วยนางเก็บ ปกติเรื่องกินอยู่พี่ใหญ่จะจัดการให้อย่างดี นางไม่ต้องเป็นกังวลเลย ดังนั้นผ่านมาสามปีจึงไม่มีโอกาสให้ใช้เงิน เงินที่เก็บสะสมไว้ก็มีจำนวนไม่น้อย วันนี้ออกไปข้างนอกจะต้องซื้อของให้สะใจ
ฉู่อีเหรินกอดเสื้อกันลม นั่งรอพี่เล็กที่เก้าอี้นอกห้อง
แต่น่าแปลกจริงๆ เพราะช่วงเช้าจะเป็นเวลาฝึกยุทธ์ของพวกเขา เวลาเริ่มและเลิกฝึกของทั้งสองคนจะไล่เลี่ยกัน ปกติพี่ใหญ่และพี่เล็กจะมาด้วยกัน เหตุใดวันนี้พี่เล็กมาช้าเช่นนี้
ฉู่อีเหรินรอไปรอมา นั่งรออยู่บนเก้าอี้อย่างเบื่อหน่าย ขาทั้งสองข้างแกว่งไปมาในอากาศ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดเสียดสีแดกดันดังมาจากด้านนอก
“…ลูกหลานสกุลฉู่สามขวบก็รู้หนังสือ ห้าขวบก็ฝึกยุทธ์ ถึงจะมีพรสวรรค์ ถ้าเป็นคนธรรมดา ฝึกปีครึ่งก็ได้ถึงขั้นดิน ระดับสอง แต่เจ้า ฉู่เซวียนฉี ทั้งที่มีพี่ชายที่มีพรสวรรค์แท้ๆ ทว่าฝึกมาสองปีกว่ากลับยังไม่ผ่านขั้นดิน ระดับหนึ่ง ข้าว่าเจ้าเลิกฝึกเสียเถอะ อย่างไรเสียน้องสาวเจ้าก็ไร้ความสามารถในการฝึกยุทธ์ ป่วยตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี แม้แต่ประตูห้องยังก้าวไม่พ้น เจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง ไม่ต้องออกมา ต่อไปก็ให้พี่ใหญ่เลี้ยงเจ้าอีกคนแล้วกัน!”
โปรดติดตามตอนต่อไป