“แค่กๆๆ”
“ง่ำๆๆ”
“งับๆๆ”
ห้องเล็กห้องหนึ่งในหออิ๋งเซียง มีสัตว์น้อยตัวดำขลับกินไม่หยุดอยู่บนโต๊ะ มันกินอาหารจานแล้วจานเล่า เด็กชายสองคน คนหนึ่งตัวโต คนหนึ่งตัวเล็กมองมันกินเอาๆ เด็กหญิงตัวน้อยอีกคนนั่งไกลออกไปหน่อย ถือจานขนมกินไปพลางยิ้มตาหยีไปพลาง
ฉู่เซวียนฉีมองมันอย่างเอาจริงเอาจัง แม้มันจะตัวเล็กมาก แต่มันเป็นสัตว์วิเศษของเขาแล้วจริงๆ เมื่อทำพันธสัญญากับมันสำเร็จ มันก็จะสามารถสื่อสารกับเจ้านายได้ ต่อไปเขาก็จะสื่อสารกับมันเช่นนี้ได้ เขาแย้มยิ้มอย่างพอใจ
“อีเหริน เจ้ารู้ว่ามันเป็นสัตว์วิเศษหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งมองสัตว์น้อยสักพัก ไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่น้องสาวพามันมาและยังพยายามให้น้องชายทำพันธสัญญากับมัน ดังนั้นจึงหันไปถามนาง
“ไม่รู้หรอก” ฉู่อีเหรินที่เคยชินกับการปิดบังความสามารถพิเศษ เอ่ยขออภัยพี่ใหญ่ในใจ “ข้าแค่สนใจในวิธีการจะเป็นผู้วิเศษ จึงอยากให้พี่เล็กลองดูเจ้าค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็กวักมือเรียกพี่ใหญ่ แน่ใจว่าพี่เล็กยังเหม่อลอยมองสัตว์ในข้อตกลงของตน และกระซิบข้างหูพี่ใหญ่ว่า “พี่เล็กไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ ดังนั้นข้าจึงหวังว่าพี่เล็กจะมีอีกโลกหนึ่งที่ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง” และกลายเป็นผู้เลิศล้ำ
พอฉู่เซวียนอั๋งฟังก็เข้าใจทันที เขาลูบหัวน้องสาว แม้ฉู่อีเหรินน้อยจะมีอายุเพียงสามขวบ แต่โดยส่วนใหญ่นางไม่เหมือนเด็กสามขวบ ไม่ร่าเริง ไม่ชอบเล่นเท่าที่ควร แต่ฉู่เซวียนอั๋งคิดว่านี่เป็นเพราะนางพักฟื้นอยู่ในห้องเป็นเวลานาน กอปรกับหนึ่งปีมานี้นางอ่านหนังสือไม่น้อย อ่านเยอะ คิดเยอะ จึงแสดงออกคล้ายผู้ใหญ่ พอคิดมาถึงตรงนี้ฉู่เซวียนอั๋งก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่กับพี่เล็กอย่าเอาแต่ดูสัตว์วิเศษกิน พวกพี่ก็กินด้วยสิ อีกสักพักพวกเราไปสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ ช่วยพี่เล็กสมัครเข้าสมาคม ดีหรือไม่” ฉู่อีเหรินเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
นางเองก็ยังไม่เคยไปที่สมาคม จะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งเป็นห่วงสุขภาพฉู่อีเหริน หนึ่งปีมานี้แม้สุขภาพนางจะดีขึ้นมาก แต่ยังมีโรคเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยครั้ง เขาเพียงกังวลว่าจะทำให้นางเหนื่อยและกลับไปนางจะป่วยอีก
“ไม่เหนื่อย” ฉู่อีเหรินส่ายหน้ายิ้มๆ แม้สีหน้านางจะยังขาวซีด แต่ดูมีกำลังวังชามากทีเดียว “หากพี่เล็กเข้าร่วมสมาคมได้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกอีก” สมาคมเป็นแหล่งสนับสนุนที่ทรงอำนาจทีเดียว
พอฉู่เซวียนอั๋งได้ยินดังนี้ก็เข้าใจทันที ฉู่อีเหรินคงกลัวว่าฉู่เซวียนฉีจะโดนรังแกและถูกด่าว่าไม่เอาไหนอีก เมื่อมีสมาคมรับรอง ต่อไปฉู่เซวียนฉีก็เป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีก แล้วมีอีกข้อหนึ่งที่ฉู่อีเหรินไม่รู้ แต่ฉู่เซวียนอั๋งรู้ดี นั่นก็คือผู้ครองสัตว์วิเศษที่มาจากตระกูลนักยุทธ์ใดก็ตามจะได้รับความสนใจและให้ความสำคัญไม่ด้อยไปกว่านักยุทธ์ยอดฝีมือ ตระกูลฉู่ก็เป็นเช่นนี้ หากฉู่เซวียนฉีกลายเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ต่อไปท่านพ่อก็ไม่กล้าทอดทิ้งอีกและไม่กล้าแม้กระทั่งสั่งสอนเขาต่อหน้าลูกหลานสกุลฉู่
อีเหรินน้อย…แม้จะได้ออกจากเรือนเฉิงจู๋น้อยมาก แต่คล้ายกับล่วงรู้ไปเสียทุกอย่าง!